กระทั่งล่าสุดพบว่าผลตรวจ ดีเอ็นเอ ของมารดามีความสัมพันธ์ทางสายเลือดแบบแม่ลูก กับโครงกระดูกหญิงนิรนามที่พบ ทางสถาบันนิติเวช โรงพยาบาลตำรวจ และมูลนิธิกระจกเงา จึงได้พาครอบครัวไปรับโครงกระดูก พร้อมทำพิธีเชิญดวงวิญญาณกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาที่ จ.บุรีรัมย์
นางเตียง กอไธสง อายุ 56 ปี พูดทั้งน้ำตาว่า สงสารลูกสาวมากเห็นรูปถ่ายตอนไหนก็อดร้องไห้ไม่ได้ ยังทำใจไม่ได้ที่สูญเสียลูกสาว แต่ก็ขอบคุณมูลนิธิกระจกเงาที่ช่วยติดตามหาลูกสาวมาตลอด อย่างน้อยก็ยังได้กระดูกของลูกกลับมาทำบุญ แต่หัวอกคนเป็นแม่หากเป็นไปได้อยากให้ลูกกลับมาแบบยังมีชีวิต 12 ปีที่ลูกหายตัวไปอย่างปริศนามันทรมานจิตใจคนเป็นพ่อแม่จนอธิบายเป็นคำพูดไม่ได้ ที่ผ่านมาทั้งพ่อและแม่ ก็ทั้งตามหา สวดมนต์ภาวนาและพึ่งไสยศาสตร์ทุกอย่างที่ทำได้ อยากให้ลูกกลับบ้านแบบมีชีวิต แต่ก็ต้องสิ้นหวังเพราะลูกจากไปแล้ว สิ่งที่ทำได้ก็คือทวงความยุติธรรมให้กับลูกสาว เพราะเชื่อว่าลูกถูกฆาตกรรม แล้วนำศพไปทิ้งอำพรางแน่นอน ก็ขอให้ดวงวิญญาณของลูกสาวช่วยดลจิตดลใจให้เจ้าหน้าที่จับกุมตัวคนที่ทำให้ลูกต้องเสียชีวิตมาดำเนินคดีตามกฎหมายด้วย
คนที่ฆ่าได้กระทั้งผู้หญิงที่ไม่มีทางสู้ต้องจิตใจโหดเหี้ยมมาก และที่น่าเวทนาคือเอาศพไปทิ้ง
ด้านนางสม มาลี อายุ 79 ปี ย่าของน้องเก๋ ก็พูดทั้งน้ำตาว่า ตอนที่หลานจะไปทำงานยังมากราบย่าบอกว่าจะไปทำงาน ย่าก็ให้พรหลานและให้เงินติดตัวเป็นขวัญถึงไปด้วย 100 บาท เสียใจมากที่หลานสาวต้องกลับมาในสภาพนี้ แต่ก็ขอบคุณทุกคนที่ช่วยตามหา อยากให้คนที่ทำกับหลาน ได้รับโทษตามกฎหมาย แต่หากจับตัวไม่ได้ก็ขอให้ได้รับผลกรรม หรือตายตกตามกันไปเช่นเดียวกับที่ทำกับหลาน
สำหรับเรื่องราวของ น.ส.ภาวิณี หรือน้องเก๋ สืบเนื่องจากเมื่อปี 2556 หลังจากเรียนจบที่มหาวิทยาลัยราชราชภัฎบุรีรัมย์
ก็เดินทางไปทำงานที่โรงงานแห่งหนึ่งย่านแหลมฉบัง จ.ชลบุรี เพื่ออยากทำงานหาเงินแบ่งเบาภาระครอบครัว กระทั่งช่วงเดือนมิถุนายน 2566 ได้ขาดการติดต่อกับครอบครัว แล้วหายตัวไปอย่างปริศนา ไม่รู้ว่าไปกับใครหรือหายไปไหน พ่อแม่ได้ขอให้มูลนิธิกระจกเงาช่วยตามหาอย่างต่อเนื่อง กระทั่งพบโครงกระดูกเมื่อปี 2557 ห่างจากจุดที่น้องพักเกือบ 100 กม. และล่าสุดผลตรวจ ดีเอ็นเอ พบว่าตรงกัน แต่ปริศนาที่ยังคาใจของครอบครัวน้องไปกับใคร แล้วใครทำให้น้องต้องตายสุรชัย พิรักษา / บุรีรัมย์
แสดงความคิดเห็น