Top News/ข่าวยอดนิยม

Recent News/ข่าวล่าสุด

ระทึกวินาทีไล่ล่า 2 พม่าโจ่ ขับรถหนีตำรวจ สุดท้ายไม่รอดตีลังกาทั้งคู่ พบยาบ้าอีก 29 เม็ด

จ.สงขลาเมื่อเวลา 05.30 วันที่ 18 กรกฎาคม 2568 ภายใต้การอำนวยการสั่งการของพล.ต.ท.ศักย์ศิรา เผือกอ่ำ ผบช.ทท. ได้สั่งการให้ บช.ทท.ให้ระดมกวาดล้างอาชญากรรมแรงงานข้ามชาติ แย่งอาชีพคนไทยสั่งการให้ พ.ต.ท.วินิจ บุญชิต สว.ส.ทท.5 กก.2 บก.ทท.3 พร้อมกำลังจับกุม 1.นายซี ตู อัง อายุ 21 ปีสัญชาติ เมียนมาร์  2.นายมิน คา จอ อายุ 19 ปี สัญชาติ เมียนมาร์ที่บริเวณป่าละเมาะข้างทาง ม.5 ต.เกาะพะงัน อ.เกาะพะงันจ.สุราษฎร์ธานีพร้อมด้วยของกลาง 1.ยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า)จำนวน 29 เม็ด2.รถจักรยานยนต์ยี่ห้อ HONDAรุ่น CLICK 125 ป้ายทะเบียน 2กต 6173 สุราษฎร์ธานีพร้อมแจ้งข้อหา“ร่วมกันมียาเสพติดให้โทษ ประเภท 1 (ยาบ้า) ไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย และ เสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) โดยผิดกฎหมาย”จึงนำตัวส่งพนักงานสอบสวนสภ.เกาะพะงัน ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไปเจ้าหน้าที่ตำรวจท่องเที่ยวเกาะพะงันได้ออกปฎิบัติงานกรณีชาวบ้านร้องเรียนเปิดเพลงส่งเสียงดังจน
กระทั่งเสร็จสิ้นภารกิจและได้ขับรถยนต์สายตรวจตำรวจท่องเที่ยวลาดตระเวณบริเวณพื้นที่ ม.5 ต.เกาะพะงัน อ.เกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ธานีเนื่องจากเป็นพื้นที่ที่เกิดเหตุลักทรัพย์บ่อยครั้ง พบชายลักณะคล้ายบุคคลต่างด้าวจำนวน2 คน ขับขี่รถจักรยานยนต์ยี่ห้อ HONDA รุ่นCLICK 125i สีเทา ตรงมาที่รถยนต์สายตรวจ จนกระทั่งชาย 2 คนดังกล่าวเห็นรถยนต์สายตรวจ ได้แสดงท่าทีตกใจ มีพิรุธเลี้ยวหลบหนีไปยังเส้นทางลัด เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมจึงได้ไล่ติดตามชาย 2 คนดังกล่าวไปและได้ออกคำสั่งให้หยุดรถผ่านวิทยุรถยนต์สายตรวจแสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่ชาย 2คนดังกล่าวได้เร่งความเร็ว พยายามที่จะขับขี่หลบหนีเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมจึงไล่ติดตามจนกระทั่งไปถึงบริเวณสถานที่เกิดเหตุซึ่งเป็นป่าละเมาะข้างทางชาย 2 คนดังกล่าวขับขี่รถจักรยานยนต์ด้วยความเร็วสูงจนกระทั่งเสียหลักลงข้างทางพยายามวิ่งหลบหนี แต่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมควบคุมตัวไว้ได้และได้ตรวจสอบร่างกายและรถจักรยานยนต์ยี่ห้อ HONDA รุ่น CLICK125i ป้ายทะเบียน 2กต 6173 สุราษฎร์ธานี สีเทา พบกล่องหมากฝรั่งสีเขียว DOUBLEMINT อยู่ที่ช่องเก็บของหน้ารถจักรยานยนต์ ตรวจสอบภายในกล่องหมากฝรั่งดังกล่าวพบยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) จำนวน 29 เม็ดสอบถามทั้งสองรายให้การยอมรับว่าได้รวมเงินกันซื้อในราคา 2,500 บาท ได้มาจำนวน 50 เม็ด ได้มาจากเพื่อนชาวเมียนมาร์ ที่ อ.เมือง จ.สุราษฎร์ธานีเมื่อเดือนที่แล้ว ซึ่งทั้งสองได้ร่วมกันเสพไปแล้วทั้งหมด 21เม็ด และ กำลังออกตระเวณ ลักทรัพย์เนื่องจากบริเวณพื้นที่ดังกล่าวหลังเที่ยงคืนจะเปลี่ยวไม่มีรถ สัญจร ไปมาสำหรับเคสนี้สืบเนื่องมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาร้องเรียน โดนขโมยทรัพย์ในพื้นที่ดังกล่าวหลังจากที่นักท่องเที่ยวได้พักผ่อนในห้องพักมีคนร้ายลักษณะคล้ายคนต่างด้าวได้งัดแงะเข้ามา ในห้องเช่าขโมยทรัพย์สินนักท่องเที่ยว จากการตรวจสอบกล่องวงจรปิดพบว่าเป็นชายคล้ายบุคคลต่างด้าวมักก่อเหตุ หลังเวลา หลังเที่ยงคืน หรือยามไกล่สว่าง ทางพ.ต.ท.วินิจ บุญชิตสว.ส.ทท.5 กก.2 บก.ทท.3 จึงได้เรียกประชุมชุดสืบสวน วางแผน จัดกำลัง ออกตรวจพื้นที่พร้อมทั้งประสานสายตรวจ สภ. เกาะพะงัน บูรณาการออกตรวจเพิ่มความถี่ป้องกันเหตุที่จะเกิดกับนักท้องเที่ยวในพื้นที่ โดยกำชับให้ชุดสืบสวนสายตรวจออกตรวจตามจุด ที่ได้รับร้องเรียน ในช่วงเวลา ไกล้สว่าง  เพิ่มความถี่ ในการออกตรวจ จนนำไปสู่การจับกุมผู้ต้องหาชาวเมียนม่า ทั้งสองรายในครังนี้ นับว่าเป็นอีกเคสที่ทำลายภาพลักษณการท่องเที่ยว แต่ครั้งนี้ไม่รอด มือตำรวจท่องเที่ยว เกาะพะงัน ทั้งนี้ทางท่าน พล.ต.ท.ศักย์ศิราเผือกอ่ำ ผบช.ทท.ได้กำชับหัวหน้าสถานีตำรวจท่องเที่ยวในแหล่งท่องเที่ยวนำร่องและพื้นที่ไกล้เคียงเร่งให้กวาดล้างการกระทำผิดของกลุ่มชาวต่างชาติที่เข้ามาแฝงตัวก่ออาชญากรรมทุกรูปแบบให้ดำเนินคดีเด็ดขาดไม่เว้นทุกกรณีเพื่อสร้างภาพลักษณการท่องเที่ยวสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวอย่างจิงจังและเด็ดขาด////นายปรีชา สถิตย์เรืองศักดิ์ / หาดใหญ่ ผู้สื่อข่าวนิวส์24สถานีประชาชน จ.สงขา

หลานฉุนฟิวส์ขาด จ่อยิงท้ายทอยอา ดับคาที่ หลังมีปากเสียงปมที่ดินมานาน

 เวลาประมาณ 11.30 น. ร.ต.อ. มารุต นิลโกสีย์ พนักงานสอบสวน สภ.สิงหนครได้รับแจ้งทางวิทยุจากศูนย์วิทยุ 191 ยิงกันตาย บริเวณถนนสายนาเกลือ หลัง รร.เขาเขียว ม.1 ต.สทิงหม้อ อ.สิงหนคร จ.สงขลา หลังได้รับแจ้งให้ ชุดสืบสวน สภ.สิงหนคร เจ้าหน้าที่สายตรวจ ชุดสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดสงขลา ชุดสืบสวนภาค 9ที่เกิดเหตุพบ นายภิญโญ จิตรกูล อายุ 60 ปี เสียชีวิตนอนคว่ำหน้าอยู่บนที่ดินจับจอง ห่างออกไป ประมาณ 200 เมตร พบปลอกกระสุน
ขนาด 9 มม. ตกอยู่ในที่เกิดเหตุ 4 ปลอก ต่อมาได้มีนายวิรัตน์ จิตรกูล อายุ 44 ปี  ต.สทิงหม้อ อ.สิงหนคร จ.สงขลา ได้มามอบตัว ที่ สภ. สิงหนคร ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำตัวไปเอาอาวุธปืนและแมกกาซีนที่ขนำ สำหรับอาวุธปืนได้นำโยนทิ้งไว้ในป้อมบ่อน้ำข้างขนำ แยกแม็กกาซีนออกไว้ใต้ขนำในแมกกาซีนมีลูกกระสุนอยู่จำนวน 5 ลูกทั้งนี้หลังสอบปากคำ พนักงานสอบสวน สภ.สิงหนคร แจ้งข้อหานายวิรัตน์ ข้อหาฆ่าคนตายโดยเจตนา นายวิรัตน์ ก็บอกถึงสาเหตุว่า ที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นที่ดินจับจองซึ่งพ่อของตนได้ครอบครองทำประโยชน์มานานแล้ว ซึ่งช่วงดังกล่าวตนทำงานอยู่ที่กรุงเทพมหานคร และเมื่อกลับ มาเยี่ยม
ครอบครัวที่บ้าน พ่อก็พาไปดูแนวเขตของที่ดินแปลงดังกล่าวด้วย กระทั่งปี 2557 พ่อเสียชีวิตตนจึงเข้าไปทำประโยชน์ต่อจากพ่อ แต่เมื่ออาเห็นว่าพ่อเสียชีวิตแล้ว ก็นำรถแบ็กโฮ เข้าไปตักดินนำไปขาย ตนจึงแจ้งความดำเนินคดี จากนั้นตนก็ถูกนายภิญโญ ยั่วยุมาตลอดและยังมีการนำที่ดินบางแปลงไปขายให้กับชาวบ้านในพื้นที่ด้วย และยังนำชาวบ้านเข้ามาข่มขู่ตน ซึ่งขณะนี้ที่ดินแปลงดังกล่าวเหลืออยู่ประมาณ 8-10 ไร่แล้ว กระทั่งก่อนเกิดเหตุ นายภิญโญซึ่งเป็นอาของตน ก็ยังยั่วยุ จนทำให้ตนเกิดอารมณ์โมโห ใช้อาวุธปืนยิง 4-5 นัด มาจากขนำที่ห่างออกไปประมาณ 200 เมตร ทั้งนี้ตนยอมรับว่าฟิวส์ขาด เพราะตนอดทนมานานกว่า 10 ปีแล้ว
และตนยังต้องถูกออกจากงานที่ทำอยู่เพราะเรื่องดังกล่าวด้วย ทั้งนี้ก็อยากขอขมากับครอบครัวของนายภิญโญด้านนาง วรรณา สุระกำแหง อายุ 65 ปี พี่สาวผู้เสียชีวิตอีกคน และเป็นอาของนายวิรัตน์ ก็บอกว่า สาเหตุ ฟางเส้นสุดท้าย มาจากปัญหาที่ดิน ซึ่งก่อนเกิดเหตุ นายวิรัตน์ ได้ขับรถมาจอดอยู่บนถนนทางเข้าที่ดินของนายภิญโญ เนื่องจากทางเข้าเดิมมีการขุดดินทำเป็นลำคูน้ำ ทำให้นายวิรัตน์  ไม่สามารถเดินทางเข้าที่ดิน ของตัวเองได้ จึงต้องมาเข้าที่ดินทางถนนที่นายภิญโญ เป็นคนริเริ่มทำไว้ จากนั้นนายภิญโญได้ต่อว่า ว่าจอดรถขวางถนน ทำให้ทั้ง 2 คน มีปากเสียงกัน ซึ่งที่ดินแปลงดังกล่าวมีเนื้อที่ประมาณ 8 ไร่ ทั้งนายภิญโญและนายวิรัตน์ ก็เข้ามาทำประโยชน์ ด้วยกัน ประมาณ 3 ปีซึ่งทั้ง 2 คนก็มีปากเสียงกันมา 2-3 วันแล้ว และนายภิญโญก็นำตำรวจ มาช่วยเจรจาไกล่เกลี่ยด้วย ขณะเดียวกัน ในช่วงดังกล่าวนายภิญโญ ก็พกพาอาวุธปืนติดตัวตลอดเวลาแต่ปรากฏว่าก่อนเกิดเหตุไม่ได้พาอาวุธปืนติดตัว ทั้งนี้หลังก่อเหตุนายวิรัตน์ ได้ไปตามตนซึ่งทำบุญอยู่ที่วัด แล้วบอกว่าได้ยิงอาภิญโญ  เสียชีวิตแล้ว ////นายปรีชา สถิตย์เรืองศักดิ์ / หาดใหญ่ จ.สงขลา

มุกดาหาร​ -​เจ้าของธุรกิจให้เช่าสินสอดสุดช้ำ! ถูกหญิงสาวหลอกเช่าเงิน 5.5 ล้าน ก่อนเชิดหนี – พบเคยก่อเหตุซ้ำที่ชลบุรี

เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2568 ผู้สื่อข่าวได้รับการร้องเรียนจากลูกสาวของหญิงวัย 60 ปี เจ้าของธุรกิจปล่อยเช่าสินสอดในจังหวัดขอนแก่น ว่ามารดาของตนตกเป็นเหยื่อแก๊งมิจฉาชีพชาย-หญิง  ชื่อ น.ส.พรทิพย์ หรือ แป้ง นายปั๊ก และ น.ส.หมวย โดย น.ส.พรทิพย์ ได้หลอกเช่าเงินจำนวน จำนวน 5,500,000 บาท โดยอ้างว่าจะนำไปถ่ายรูปคู่กับเงินเพื่อสร้างเครดิตให้ดูน่าเชื่อถือ โดยจะนำไปแสดงต่อนายทุน คือ นายปั๊ก และ น.ส.หมวย เพื่อร่วมลงทุนทำธุรกิจเต้นท์รถกัน
แต่ภายหลังกลับหลอกล่อให้ทั้ง 2 คน นำเงินจำนวน 5,500,000 บาท หลบหนีไปจากการสอบถาม ลูกสาวของผู้เสียหายเล่าว่า เหตุเกิดเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคมที่ผ่านมา โดย น.ส.พรทิพย์ ผู้ก่อเหตุได้ติดต่อขอเช่าเงินจำนวน 8 ล้านบาท แต่ผู้เสียหายมีเงินไม่พอจึงลดลงมาเหลือจำนวน 5,500,000 บาท ตกลงจะจ่ายค่าเช่าเป็นเงิน 76,500 บาท โดย น.ส.พรทิพย์ ได้เงินโอนเงินมัดจำมาให้ก่อนเป็นจำนวน 5,000 บาท  และได้มีการนัดส่งมอบเงินกันในเวลา 14:00 น.
วันที่ 13 กรกฎาคม ซึ่งในวันดังกล่าว น.ส.พรทิพย์ มารับเงินด้วยตนเองที่ร้านข้าวเปียกช็อปเปอร์ เขตเทศบาลเมืองมุกดาหาร ก่อนส่งต่อเงินให้เพื่อนร่วมแก๊งที่มาด้วยกันสองคน คือ นายปั๊ก และ น.ส.หมวย นำขึ้นรถหลบหนีไป โดยอ้างว่านำไป “นับเงิน” แล้วจะกลับมา แต่สุดท้ายทั้งสองก็หายตัวไปเลยขณะที่ผู้เสียหายพยายามสอบถาม น.ส.พรทิพย์ เจ้าตัวกลับอ้างว่าตนเองก็ถูกหลอกเช่นกัน ไม่มีเจตนาหลอกลวงหรือยักยอก และจะพยายามติดตามเงินกลับมาให้  จึงได้มีการพาตัวน.ส.พรทิพย์ไปลงบันทึกประจำวันที่ สภ.เมืองมุกดาหาร และนัดหมายว่าจะนำเงินมาคืนภายในวันที่ 16 กรกฎาคม แต่เมื่อถึงวันนัดกลับไม่มาตามที่ใดมีการลงบันทึกประจำวันตกลงกันไว้ต่อมา ผู้เสียหายตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมพบว่า กลุ่มบุคคลดังกล่าวเป็นชาวตำบลคำป่าหลาย อำเภอเมืองมุกดาหาร และเคยก่อเหตุลักษณะเดียวกันในพื้นที่ สภ.ศรีราชา จังหวัดชลบุรี เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคมที่ผ่านมา ก็ได้ใช้วิธีหลอกเช่าเงินแบบเดียวกัน และมีชื่อ น.ส.พรทิพย์ เป็นผู้ติดต่อในทั้งสองกรณีเบื้องต้นผู้เสียหายได้แจ้งความไว้ที่ สภ.เมืองมุกดาหาร เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2568 และขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ระหว่างการติดตามตัวผู้ต้องหาทั้งหมดเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป///ภาพ/ข่าว​ เด​วิท​ โชคชัย​ ผู้สื่อข่าวนิวส์24สถานีประชาชนจังหวัดมุกดาหา​ร​ รายงาน​

ร้อยเอ็ด – เกษตรจังหวัดห่วงใยเกษตรกร แนะเตรียมพร้อมรับมืออุทกภัยในฤดูฝนปีนี้ "ฝนตกหนัก...เกษตรกรต้องไม่ตกใจ!" เกษตรจังหวัดร้อยเอ็ดย้ำดูแลแปลงนา เตรียมพร้อม 3 ระยะลดผลกระทบ แนะขึ้นทะเบียนเกษตรกรให้ทันเพื่อรับสิทธิ์เยียวยาจากรัฐ

วันนี้( 17 กรกฎาคม 2568 )เวลา 17.00 น. ที่สำนักงานเกษตรจังหวัดร้อยเอ็ด อำเภอธวัชบุรี จังหวัดร้อยเอ็ด นายมงคล ยี่รัมย์ เกษตรจังหวัดร้อยเอ็ด เปิดเผยถึงสถานการณ์ฝนที่ตกต่อเนื่องและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นว่า ปีนี้ประเทศไทยเข้าสู่ฤดูฝนอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 15 พฤษภาคมที่ผ่านมา และคาดว่าจะมีปริมาณฝนมากกว่าค่าปกติในหลายพื้นที่ ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดอุทกภัย โดยเฉพาะในพื้นที่ปลูกข้าวที่มีน้ำขังหรือระบายน้ำไม่ทัน สำนักงานเกษตรจังหวัดร้อยเอ็ด จึงขอแจ้งเตือนและให้คำแนะนำแก่พี่น้องเกษตรกร โดยเน้นการเตรียมความพร้อมใน 3 ระยะสำคัญ ได้แก่ก่อนเกิดภัย: ตรวจสอบแนวคันนา จุดรั่วซึม รอยรั่ว รวมถึงกำจัดวัชพืชเพื่อเปิดทางระบายน้ำในแปลงนา หากเป็นสวนไม้ผลควรพูนดินกันน้ำ ปรับแต่งกิ่งให้โปร่ง และเตรียมเครื่องสูบน้ำไว้ให้พร้อมใช้งานระหว่างเกิดภัย: พืชแต่ละชนิดมีความทนทานต่อน้ำไม่เท่ากัน ข้าวอาจทนได้นาน 7-10 วัน ไม้ผลอาจทนน้ำขังได้ 14 วัน ส่วนพืชไร่และผักจะอ่อนไหวมากกว่า หากฝนตกหนักควรเร่งระบายน้ำออกจากพื้นที่ และย้ายสัตว์เลี้ยงขึ้นที่สูง พร้อมเตรียมอาหารสัตว์ไว้ล่วงหน้าหลังเกิดภัย: หากผลผลิตได้รับความเสียหาย ควรปลูกพืชอายุสั้นทดแทน เช่น ข้าวพันธุ์ไว พืชผัก หรือพืชเศรษฐกิจอื่น เพื่อฟื้นฟูรายได้ และที่สำคัญควร ขึ้นทะเบียนเกษตรกร ให้ถูกต้อง เพื่อให้สามารถเข้ารับการเยียวยาและสนับสนุนจากรัฐบาลได้อย่างเต็มสิทธิ์นายมงคล ยี่รัมย์ เน้นย้ำว่า "การเตรียมความพร้อมทั้งก่อน ระหว่าง และหลังเกิดภัย จะช่วยลดผลกระทบและความสูญเสียในผลผลิตทางการเกษตร และเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันที่ยั่งยืนให้แก่เกษตรกรในทุกฤดูกาล"คมกฤช พวงศรีเคน ข่าว/ภาพ สวท.ร้อยเอ็ด ผู้สื่อข่าวนิวส์24สถานีประชาชนจังหวัดร้อยเอ็ด

ร้องทุกข์สาวฉันทนาชีวิตล่ม!หลังฉีดวัคซีนโควิด-19ครบ 3เข็มป่วยหลายโรครุมทั้งกล้ามเนื้ออ่อนแรง กระดูกทับเส้น โรคพุ่มพวงรอคิวจ่อตามด้วยความดันเบาหวาน

หลังกินยามากจัดสิ้นเรี่ยวแรงไปทำงานอาทิตย์หนึ่งไปทำงานได้ 1-2 วันเท่านั้น หลังล้มป่วยสามีนำลูก 2 คนไปเลี้ยงดูและแยกทางกันเงินประกันสังคมไม่มีจ่ายไม่มีเงินค่าผ่าตัดปลูกบ้านหลังเล็กๆอยู่ติดกับแม่ มีแม่คอยดูแลในยามเจ็บป่วย บางครั้งไม่มีเงินที่จะไปหาหมอ ต้องขอหยิบยืมญาติและเพื่อนบ้านครั้งละ 100 บาทค่าน้ำ
มันรถจักรยานยนต์ บางครั้งมีเงินเติมน้ำมัน 50 บาทก็ต้องไปหาหมอเมื่อเวลา 11.05 น.วันนี้ 18 ก.ค.68 ผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.ปราจีนบุรีได้รับการร้องทุกข์ชาวบ้านมีหญิงสาวรายหนึ่งเป็น “สาวฉันทนา” หรือ สาวโรงงาน  ภูมิลำเนาอยู่พื้นที่ ต.ลาดตะเคียน อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี ไม่รู้จะพึ่งพาใครหลังฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิค -19 แล้วชีวิตเธอและครอบครัวต้องพลิกผัน - ล่มสลาย!เริ่มจากคนที่ร่างกายคนปกติแข็งแรงต้องกลับกลายกลายมาล้มป่วยหลายโรครุมเร้า นับ
เริ่มจากป่วยเป็นโรคพุ่มพวง โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง , กระดูกทับเส้น กำลังติดตามด้วยโรคความดัน เบาหวาน และ ไตเสื่อมหลังจากกินยามาก  ชีวิตของเธอตอนนี้ต้องวนเวียนไป – กลับระหว่างบ้านกับโรงพยาบาลในเดือนหนึ่งๆ ไปหาหมอ 3-4ครั้ง / เดือน  บางครั้งต้องขับรถจักรยานยนต์ออกจากบ้านไปหาหมอที่โรงพยาบาลกบินทร์บุรี ต้องพักข้างทาง2-3ครั้งจึงขับรถไปต่อได้เนื่องจากมีอาการวูบหน้ามืดตาลาย จนเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมาเปลี่ยนการรักษามาที่โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศรตามสิทธิประกันสังคมของสาวฉันทนารายดังกล่าว  นางสาวนันทนา ไชโย อายุ 45 ปี อยู่บ้านเลขที่259 หมู่ 5 ได้เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่าตนเองป่วยเมื่อปี64 หลังจากที่ไปฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ตามที่ทางรัฐบาลกำหนดให้ไปฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ตนเองฉีดวัคซีนครบ 3 เข็ม ต่อมากลับกลายมีอาการแขนขาอ่อนแรงและโรคแทรกซ้อน จากคนปกติต้องล้มป่วยมาเป็นระยะๆ เดินไม่สะดวกหน้าตาที่สดใสกลายมาเป็นดำคล้ำ ตนเองไม่สามารถใช้ชีวิตตามปกติได้ทำให้ประสบปัญหาในการทำงานที่บริษัทแห่งหนึ่ง แต่ทางผู้จัดการใจดียังคงให้ทำงานตามแต่จะมีแรงทำ อาทิตย์หนึ่งไปทำงานได้ 1-2 วันเท่านั้น หลังจากล้มป่วย
สามีก็นำลูก 2 คนไปเลี้ยงดูที่กรุงเทพฯ และแยกทางกันอยู่ ตนเองอาศัยปลูกบ้านหลังเล็กๆอยู่ติดกับแม่ มีแม่คอยดูแลในยามเจ็บป่วย บางครั้งไม่มีเงินที่จะไปหาหมอ ต้องขอหยิบยืมญาติและเพื่อนบ้านครั้งละ 100 บาทค่าน้ำมันรถจักรยานยนต์ บางครั้งมีเงินเติมน้ำมัน 50 บาทก็ต้องไปหาหมอ ล่าสุดหมอนัดผ่าตัดกระดูกทับเส้นแต่เงินประกันสังคมได้ใช้เกินไม่มีจ่ายไม่มีเงินค่าผ่าตัดและตนเองก็แพ้ยาด้วย ยอมรับว่าทุกวันนี้ชีวิตอัตคัดขัดสนสุดๆ บางเดือนต้องหยิบยืมเงินยากและเพื่อนบ้านมาจ่ายค่าไฟ ค่าน้ำ การกินอยู่ก็กินตามอัตภาพเท่าที่มีอดๆอยากๆแต่ก็ต้องใช้ชีวิตอยู่ให้ได้ หมอให้ยามาทานที่บ้านแต่ละครั้งครั้งละมากๆหากใครมีความประสงค์จะช่วยเหลือเงินไว้ติดตัวไว้เป็นค่ารักษาตัวเล็กๆน้อยๆโอนเงินค่ารักษาได้ที่ธนาคารกสิกรไทยสาขาตลาดอุดมสุข กบินทร์บุรี หมายเลขบัญชี 041-162119-7 หรือโทรศัพท์ 062-498-0660###  มานิตย์ สนับบุญ 081 -5583238- ข่าว / ทองสุข สิงห์พิมพ์ – ภาพ / ผู้สื่อข่าวนิวส์24สถานีประชาชนจังหวัดปราจีนบุรี

ลพบุรี ที่อำเภอโคกสำโรง คณะสงฆ์ประชาชน อุบาสกอุบาสิกา ร่วมงาน ธรรมนาวา "วัง" มากกว่า 600 คน

วันที่ 18 กรกฎาคม 2568 เวลา 14.30 น. ที่วัดเขาจรเข้ ต.วังเพลิง อ.โคกสำโรง จ.ลพบุรี 

นางสาวนงลักษณ์ อยู่พุ่ม  ปลัดอำเภอหัวหน้ากลุ่มงานบริหารงานปกครองอำเภอโคกสำโรง ประธานพิธีฝ่ายฆราวาส  พันตำรวจเอกมาโนช จันเที่ยง   ผกก. สภ. เพนียด  นางสาวพรพรรณ ศรีเมือง (คีรีตา รีสอร์ท แอนด์ คาเฟ่) ต.วังเพลิง  พร้อมด้วยอุบาสกอุบาสิกา หัวหน้าส่วนราชการอำเภอโคกสำโรง ประชาชน คณะสงฆ์อำเภอโคกสำโรง จำนวนพระสงฆ์เข้าร่วมงาน 250 รูป ประชาชน 425 คน ร่วมงาน ธรรมนาวา "วัง"

พุทธศาสนิกชน สู่การตื่นรู้ร่วมงาน ธรรมนาวา วัง เป็นจำนวนมากที่อำเภอโคกสำโรง จังหวัดลพบุรี  โดยมีการแตงกายชุดขาว และเครื่องแบบกากี

    กิจกรรมภายในงานประกอบด้วยการบรรยายธรรมจากคณะสงฆ์ พระสังฆาธิการหลายรูปสลับการหมุนเวียนบรรยายธรรมให้ความรู้แก่พุทธศาสนิกชนที่เข้าร่วมงาน สลับกับวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิที่มาให้ความรู้ตามหลักคำสอนของพุทธศาสนา   นอกจากนี้แล้วยังมีจัดนิทรรศการ ให้ความรู้กับผู้ร่วมงาน และมีการสวดมนต์ธรรมวัด "ธรรมสัญจร"

  ผู้ร่วมงานต่างได้แสดงความรู้สึกว่า วันนี้ได้มารับความรู้ จากธรรมะคำสอนต่างๆมากมายที่นำมาปรับใช้ในชีวิตจริงได้  

  ทั้งนี้กิจกรรมปูทางตื่นรู้ สู่ธรรมนาวา วัง ที่จัดขึ้น เพื่อเผยแพร่ตามหลักธรรมคำสอนพระพุทธศาสนา ธรรมนาวา วัง ตามแนวทางพระราชดำริ หลักธรรมไปสู่การพ้นทุกข์ของพระพุทธองค์ และนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันในทุกมิติอีกด้วย











 สนอง แท่นสูงเนิน

ผอ.ศูนย์ข่าวฯ และอนุกรรมการสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์จังหวัดลพบุรี ภาพ/ข่าว

แม่ทัพภาคที่ 2 ลงพื้นเยี่ยมและพบปะนักเรียนภายใต้แนวคิด "หนูรักถิ่นฐาน บ้านเกิดเมืองนอน" พร้อมมอบทุนการศึกษา

เมื่อเวลา 13.30 น.วันที่ 18 กรกฎาคม 2568 ที่หอประชุมโรงเรียนสินรินทร์วิทยา  อ.เขวาสินรินทร์ (ขะ-หวาว-สินรินทร์)    พลโท บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 พร้อมคณะ ได้เดินทางมาที่โรงเรียนสินรินทร์วิทยา โดยเฮลิคอปเตอร์ เพื่อมาเยี่ยมและพบปะนักเรียนภายใต้แนวคิด "หนูรักถิ่นฐาน บ้านเกิดเมืองนอน" โดยมีนายประภาส ศรีจันทร์เวียง รองผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ กล่าวต้อนรับ พร้อมทังหัวหน้าหน่วยราชการ ชาวบ้านจำนวนมากของตำบลเขวาสินรินทร์ ทหารผ่านศึกและนักเรียนโรงเรียนสินรินทร์วิทยา รอให้การต้อนรับ และยังเตรียมผ้าขาวม้าผูกคาดเอวเพื่อควาาเป็นสิริมงคล มอบดอกไม้สดให้กับแม่ทัพภาคที่ 2 กันเป็นจำนวนมาก
โดยพลโท บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ก่อนเข้าหอประชุมโรงเรียนได้เซ็นชื่อที่รูปที่นักเรียนเตรียมไว้หน้าประตู ซึ่งได้ชมการแสดงของนักเรียนสินรินทร์วิทยาเสร็จสิ้น ก็ได้มอบรางวัลให้กับนักเรียนที่แสดง โดยทางพลโท บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ได้มอบทุนการศึกษาให้กับนักเรียนจำนวนหนึ่ง พร้อมกับควักเงินส่วนตัวเพิ่มทุนการศึกษาให้อีกจำนวน 20,000 บาท เพื่อส่งเสริมเยาวชน ให้ได้รับการศึกษาอย่างเท่าเทียม ซึ่งคัดเลือกเยาวชน ที่มีความประพฤติดี แต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ ทั้งนี้ ยังถือเป็นการพัฒนาบุคลากรให้มีคุณภาพ เพื่อเป็นอนาคตที่ดีของชาติ
จากนั้นพลโท บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ได้กล่าวถึงนักเรียนที่คอยให้การต้อนรับ และนักเรียนอยากพบอยากเจอ ซึ่งแม่ทัพภาคที่ 2 ได้พูดสอนให้เชื่อฟังพ่อแม่ และให้คิดว่าเรียนจบจะทำงานอะไรให้คิดด้วยตัวเองอย่าตามเพื่อน ซึ่งหลังจากกล่าวจบก็ได้มีนักเรียนถามพลโท บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ว่าแม่ทัพภาคที่ 2 ปฎิบัติกับผู้ใต้บังคับบัญชายังไง โดยแม่ทัพภาคได้ตอบว่า ปฎิบัติตัวด้วยการรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ซึ่งก็ยังมีน้องนักเรียนถามอีกว่าแม่ทัพภาคที่ 2 อีก 2 ปี คุณลุงเกษียณอายุราชการไปแล้ว คุณลุงจะไปทำอะไร ทางแม่ทัพภาคที่ 2 ตอบว่าเมื่อเกษียณอายุราชการ ลุงก็ใช้ชีวิตแบบธรรมดา แต่ก็รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และก็จะไปเลือกตั้ง ซึ่งใครเอาเงินมาให้ลุง ๆ ก็ไม่รับ
หลังจากตอบข้อซักถามเสร็จพลโท บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ได้พานักเรียน ร้องเพลงชาติ และได้เดินรับดอกไม้จากน้องนักเรียนสินรินทร์วิทยาตลอดเส้นทางที่ไปขึ้นเฮลิคอปเตอร์ที่จอดรออยู่ที่สนามบอลโรงเรียน เพื่อเดินทางไปที่ปราสาทตาเมือนธมเยี่ยมทหารที่ประจำอยู่ที่ปราสาทดังกล่าว
อัศววัฒน์ พัฒน์ทองกนก  ภาพ/ข่าวNews24 จ.สุรินทร์  รายงาน