นางวราภัสร์ ระบุว่า ปัญหาความรุนแรงในครอบครัวเป็น “ภัยเงียบ” ที่ฝังรากลึกในสังคมไทย แม้รัฐจะออกกฎหมายและมาตรการหลายด้าน แต่สถานการณ์กลับรุนแรงขึ้น โดยกลุ่มเสี่ยงอย่างเด็ก สตรี ผู้สูงอายุ และคนพิการยังคงตกเป็นเหยื่อจำนวนมาก กมธ.จึงติดตามประสานทุกหน่วยงาน เพื่อผลักดันมาตรการป้องกัน คุ้มครอง และฟื้นฟูให้มีประสิทธิภาพอย่างจริงจังประธาน กมธ. ย้ำว่า พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. 2550 ที่ใช้มากว่า 18 ปี แม้มีเจตนาดี แต่ยังเน้นแนวทาง “ประนีประนอมให้กลับไปใช้ชีวิตร่วมกัน” มากกว่าการเอาผิดผู้กระทำ ส่งผลให้ผู้เสียหายจำนวนมากต้องวนกลับสู่สภาพแวดล้อมเดิม เสี่ยงเกิดเหตุซ้ำ
“ถึงเวลาต้องเร่งปรับปรุงกฎหมายให้ทันยุค” นางวราภัสร์กล่าว “เพื่อให้ทุกคนได้รับการคุ้มครองอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยจริง ไม่ใช่แค่บนเอกสาร”
เธอฝากถึงประชาชนด้วยว่า สังคมต้องร่วมกันสร้างวัฒนธรรม “ไม่ยอมรับความรุนแรง” การนิ่งเฉยในบางกรณีอาจถือเป็นความผิดตามกฎหมาย พร้อมย้ำว่า
“การยุติความรุนแรง ไม่ใช่หน้าที่ของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นความรับผิดชอบร่วมกันของเราทุกคน”



แสดงความคิดเห็น