นายศรีธรรม    ราชแก้ว   รองผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์    ได้ประชุมหัวหน้าส่วนราชการ และเจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง   เพื่อเน้นย้ำให้เพิ่มมาตรการคุมเข้มตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา   อาทิ อ.บ้านกรวด  ละหานทราย  และ อ.โนนดินแดง  โดยการประสานความร่วมมือทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ  ฝ่ายปกครอง  และฝ่ายความมั่นคง  ให้เพิ่มมาตรการในการตรวจตรา  คุมเข้มป้องกันการลักลอบนำข้าวเปลือกจากประเทศเพื่อนบ้าน เข้ามาปลอมปนหรือขายในพื้นที่   หลังจากที่มีการปิดด่านพรมแดนไทย-กัมพูชา   จากผลพวงความขัดแย้งและมีการสู้รบกันเมื่อช่วงปลายเดือน ก.ค.68  ที่ผ่านมา  ทำให้ข้าวเปลือกในกัมพูชาราคาตกต่ำเหลือกิโลกรัมละ 3 – 4 บาท   จึงเกรงจะมีกลุ่มคนลักลอบนำข้าวจากกัมพูชาเข้ามาปลอมปนขายในพื้นที่    ซึ่งจะกระทบกับราคาข้าวในไทยให้ต่ำลงได้  ทั้งนี้ยังได้ขอความร่วมมือกับพี่น้องประชาชน   หากพบเห็นความผิดปกติ  หรือกลุ่มคนที่อาจจะลักลอบนำข้าวจากประเทศเพื่อนบ้านที่กำลังราคาตกต่ำ   เข้ามาปลอมปนขายในไทย

ก็ให้แจ้งเจ้าหน้าที่เพื่อเข้าทำการตรวจสอบและดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป   ซึ่งหากมีการขนย้ายข้าวเปลือกเข้าหรือออกนอกพื้นที่ตั้งแต่ 5 ตันขึ้นไป  ในแต่ละครั้งผู้ประกอบการหรือเกษตรกร จะต้องได้รับอนุญาตขนย้ายจากทางจังหวัด   หากพบขนย้ายโดยไม่ได้รับอนุญาตจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย 

 ด้านนายฉัตรชัย    นิณรัตน์    ประธานชมรมโรงสีข้าวจังหวัดบุรีรัมย์  ระบุว่า   ที่ผ่านมาไม่เคยมีผู้ประกอบการโรงสีข้าวในพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์  ไปเปิดลานหรือท่าข้าวเพื่อรับซื้อข้าวที่กัมพูชา   แต่เท่าที่ทราบก็อาจจะมีผู้ประกอบการบางรายในบางจังหวัด  ที่ทำธุรกิจส่งออกข้าวไปเปิดลานรับซื้อข้าวที่กัมพูชาแล้วแปรรูปเป็นข้าวสารส่งขายยุโรป หรืออเมริกา    แต่หลังจากที่มีการปิดพรมแดนก็น่าจะไม่มีแล้ว   อย่างไรก็ตามการปิดพรมแดนไทย-กัมพูชา   ไม่ได้ส่งผลกระทบกับราคาข้าวของไทย  เพราะตลาดหลักๆ ที่รับซื้อข้าวจากไทย ก็จะเป็นอเมริกา   จีน  ฮ่องกง   หรือสิงค์โป   แต่เรื่องผลผลิตอาจจะน้อยลงเพราะไม่สามารถนำเข้าข้าวจากกัมพูชาได้








      สุรชัย    พิรักษา / บุรีรัมย์
 

แสดงความคิดเห็น