วันนี้ 12 พ.ย.68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายอธิสรรค์  อินทร์ตรา ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี/ผู้อำนวยการจังหวัด กล่าวว่าด้วยสถานการณ์ไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) จังหวัดกาญจนบุรี ช่วงเดือนพฤศจิกายน - เมษายน ของทุกปี เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพทำให้ส่งผลกระทบกับอากาศ และสุขภาพของประชาชน ติตต่อกันหลายวันอย่างต่อเนื่อง และหากมีแนวโน้มความรุนแรงมากขึ้นจะส่งผลกระทบที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพประชาชน อันมีสาเหตุจากการเผาในพื้นที่ป่าไม้ ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าอนุรักษ์ ป่าชุมชนสาธารณะ การเผาในพื้นที่เกษตรกรรม การเผาในพื้นที่ชุมชน/เมือง พื้นที่ริมทาง และอื่น ๆฉะนั้นในฐานะ ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี/ผู้อำนวยการจังหวัด จึง อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 15,21 และ 22 แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ.2550 จึงกำหนดให้พื้นที่ทุกหมู่บ้าน/ตำบล/อำเภอ ในท้องที่จังหวัดกาญจนบุรี เป็น "เขตควบคุมการเผา" และกำหนดมาตรการทางกฎหมายในการควบคุมการเผา ดังนี้ 1.เมื่อมีความจำเป็นต้องเผาวัชพืชในที่ดินทำกิน ให้ราษฎรผู้ครอบครองที่ดินดังกล่าวขออนุญาตจากกำนันหรือผู้ใหญ่บ้านในเขตปกครองท้องที่นั้น ๆ ก่อนที่จะดำเนินการทุกครั้ง พร้อมกับต้องจัดทำแนวกันไฟและควบคุมไฟไม่ให้ลุกลามไปยังพื้นที่อื่น ๆ โดยให้ประสานงานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและหน่วยงานที่มีหน้าที่ในพื้นที่ เพื่อจัดเจ้าหน้าที่ควบคุมในการดำเนินการดังกล่าวด้วย
2.หากราษฎรผู้ใดไม่แจ้งขออนุญาตต่อกำนันหรือผู้ใหญ่บ้าน หรือขออนุญาตแล้วแต่ไม่จัดทำแนวกันไฟและมิได้ควบคุมไฟให้อยู่ในพื้นที่ที่ตนถือครอง จนเป็นเหตุให้ไฟลุกลามไหม้ป่า ให้กำนันหรือผู้ใหญ่บ้านแจ้งต่อนายอำเภอท้องที่ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายแก่ราษฎรที่ฝ่าฝืนทุกราย 3.การจุดไฟเผาให้ไฟลุกลามไปยังพื้นที่ต่าง ๆ มีโทษตามกฎหมาย พระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484มาตรา 54 ผู้ใดผ้าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตาม ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ในกรณีที่ได้กระทำเป็นเนื้อที่เกินยี่สิบห้าไร่ ผู้กระทำความผิดต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สองปีถึงสิบห้าปี และปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนบาทพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 มาตรา 14 ผู้ใดผ้าฝืน ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท ในกรณีที่ได้กระทำเป็นเนื้อที่เกินยี่สิบห้าไร่ หรือก่อให้เกิดความเสียหายแก่ ไม้สัก ไม้ยาง ไม้สนเขา หรือไม้หวงห้ามประเภท ข. ตามกฎหมายว่าด้วยป่าไม้ หรือไม้อื่นที่เป็นต้นหรือท่อนอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่างรวมกันเกินยี่สิบต้นหรือท่อน หรือรวมปริมาตรไม้เกินสี่ลูกบาศก์เมตร หรือ ต้นน้ำลำธาร หรือ พื้นที่ชายฝั่ง ผู้กระทำความผิดต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สีปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่สองแสนบาทถึงสองล้านบาทพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2562 มาตรา 19 ผู้ใดฝ่าฝืน ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สี่ปีถึงยี่สิบปี หรือปรับตั้งแต่สีแสนบาทถึงสองล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ในกรณีที่ได้กระทำในพื้นที่ลุ่มน้ำขั้นที่ 1 หรือพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 2 ตามที่คณะรัฐมนตรีกำหนด หรือพื้นที่เปราะบางของระบบนิเวศหรือความหลากหลายทางชีวภาพ ผู้กระทำต้องระวางโทษหนักกว่าโทษที่กฎหมายบัญญัติไว้กึ่งหนึ่ง ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 19 (2) ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี
หรือปรับไม่เกินห้าแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 19 (9) ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2562 มาตรา 55 ผู้ใดฝ้าฝืนมาตรา 55 (2) ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สี่ปีถึงยี่สิบปี หรือปรับตั้งแต่สี่แสนบาทถึงสองล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ มาตรา 67(2) ผู้ใดฝ่าฝืนต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี หรือปรับไม่เกินเจ็ดแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ในกรณีที่เป็นการกระทำแก่ทรัพยากรธรรมชาติที่สามารถเกิดใหม่ทดแทนได้ตามฤดูกาลและมีมูลค่ารวมกันไม่เกินสองพันบาท ผู้กระทำต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าพันบาทพระราขบัญญัติป่าชุมชน พ.ศ.2562 มาตรา 63 ผู้ใดฝ่าฝืนต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ในกรณีที่เป็นการกระทำในบริเวณเพื่อการอนุรักษ์หรือกระทำแก่ไม้ทรงคุณค่าที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ผู้กระทำความผิดต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี หรือปรับไม่เกินสองแสนบาท
หรือทั้งจำทั้งปรับประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 220 ผู้ใดกระทำให้เกิดเพลิงไหม้แก่วัตถุใด ๆ แม้เป็นของตนเอง จนน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลอื่นหรือทรัพย์สินของผู้อื่น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี และปรับไม่เกินหนึ่งแสนสี่หมื่นบาท พระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ.2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 74 ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่น ต้องระวางโทษจำคุก ไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับ ไม่เกิน 25,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับโดยให้ผู้อำนวยการอำเภอทุกอำเภอ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกแห่ง ผู้นำท้องที่ผู้นำชุมชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ถือเป็นหน้าที่ที่ต้องสอดส่องดูแลเอาใจใส่ ร่วมชี้แจงสร้างการรับรู้ให้ประชาชนในพื้นที่ และปฏิบัติตามประกาศฉบับนี้อย่างเคร่งครัด ตั้งแต่วันที่ 15 พฤศจิกายน 2568 จนถึงวันที่ 30 เมษายน 2569 หรือจนกว่าถานการณ์จะเข้าสู่ภาวะปกติ” นายอธิสรรค์ อินทร์ตรา ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี/ผู้อำนวยการจังหวัด กล่าว//////ข่าวภูมิภาค / ปรีชา  ไหลวารินทร์ ผู้สื่อข่าวนิวส์24สถานีประชาชนประจังหวัดกาญจนบุรี///สุพจน์บดินทร์ กุ่มประสิทธิ์ บก.ข่าวออนไลน์ 77จังหวัด

แสดงความคิดเห็น