(29 ก.ค.68)  จากข้อมูลรายงานของอำเภอบ้านกรวด  จ.บุรีรัมย์  เกี่ยวกับสถานการณ์ความไม่สงบตามแนวชายแดน  พบว่าเมื่อคืนที่ผ่านมาตั้งแต่ช่วงเวลา 19.00 – 19.55 น. (28 ก.ค.68)  ก่อนถึงกำหนดเวลาหยุดยิงตามข้อตกลงของทั้งไทยและกัมพูชาตอนเที่ยงคืน   ยังคงมีการปะทะกันที่บริเวณด่านพรมแดนช่องสายตะกู  อ.บ้านกรวด  ฝั่งตรงข้ามกับช่องจุ๊บโกกี อ.บันเตียอัมปึล ประเทศกัมพูชา   ส่งผลให้มีทหารไทยบาดเจ็บจากการยิงปะทะกันจำนวน 4 นาย  ถูกนำตัวส่ง รพ.บุรีรัมย์ 2 นาย  และ รพ.ประโคนชัย 2 นาย แต่ไม่มีรายงานพลเรือนได้รับบาดเจ็บ  อย่างไรก็ตามตั้งแต่ช่วงเช้าจนถึงตอนช่วงค่ำก่อนจะหยุดยิง ได้มีกระสนปืนใหญ่ และหัวจรวด BM21 ตกในพื้นที่ อ.บ้านกรวด เพิ่มอีก 77 ลูก   แต่หลังจากเที่ยงคืนตามข้อตกลงหยุดยิง  ยังไม่ปรากฏเสียงปืนหรือระเบิดจากการยิงปะทะแต่อย่างใด    ขณะที่การสู้รบกันตลอด 5 วัน ตั้งแต่วันที่ 24 – 28 ก.ค.68  ได้มีกระสุนปืนใหญ่ และจรวด BM-21 ตกในพื้นที่ อ.บ้านกรวด รวมจำนวน 237 ลูก
 ทั้งนี้ทีมข่าวยังได้ไปติดตามบรรยากาศ ที่ศูนย์พักพิงสนามช้างอินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จังหวัดบุรีรัมย์  ซึ่งเป็นจุดหลักที่มีผู้อพยพหนีภัยสงครามมาพักอาศัยมากเกือบ 15,000 คน  ซึ่งต่างก็รู้สึกดีใจที่มีการเจรจาหยุดยิง  เพราะไม่อยากให้ทั้งทหาร และประชาชนเกิดการสูญเสียอีก  แต่ส่วนใหญ่ก็ยังไม่เชื่อใจกัมพูชา   เพราะตลอดการสู้รบที่ผ่านมากัมพูชาจะเป็นฝ่ายเริ่มก่อน   และยังเปรียบกัมพูชาเหมือน “ชาวนากับงูเห่า” ที่พร้อมจะแว้งกัดตลอดเวลา    ทั้งนี้ผู้อพยพยังบอกอีกว่า   หากการเจรจาไทยมีแนวโน้มจะเสียดินแดน หรือเสียเปรียบไม่ว่าจะเหตุผลใดก็ตาม   ประชาชนก็พร้อมจะทิ้งบ้านอยู่ที่ศูนย์พักพิงต่อ  เพื่อให้ทหารแนวหน้า  ทำหน้าที่ปกป้องอธิปไตยอย่างเต็มที

 ทั้งนี้ยังได้ฝากสื่อสารถึงประชาคมโลก   ว่าให้ความเป็นธรรมกับไทยด้วย  เพราะที่ผ่านมาไทยเป็นฝ่ายถูกกัมพูชารุกรานมาตลอด   ไม่เคยเป็นฝ่ายเริ่มก่อน  ไทยเป็นคนซื่อสัตย์และใจเคยไปรุกรานใครก่อน  แต่เมื่อถูกรังแกก็พร้อมจะสู้กลับเพื่อปกป้องบ้านเมืองของตัวเองทุกเมื่อ 

ขณะที่โรงเรียนตามแนวชายแดนกว่า 80 แห่ง ยังมีการประกาศปิดเรียนต่อไปจนถึงวันที่ 1 ส.ค.68










    สุรชัย   พิรักษา /บุรีรัมย์
 

แสดงความคิดเห็น