“ชูวิทย์” ประกาศคัมแบ็ก! ในสถานะ “พลพรรครักประเทศไทย” พร้อมเปิดฉากโพสต์ร่ายยาวแฉ “ธุรกิจการเมือง” แค่ 2 ปี ทุกอย่างกลับป่นปี้ตาลปัตร!!

.

เมื่อวันที่ 27 มิ.ย. 2568 นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมืองและนักธุรกิจชื่อดัง โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ประกาศกลับมาเคลื่อนไหวทางสังคมอีกครั้ง หลังหายไปรักษาตัวจากอาการป่วยนานถึง 2 ปี โดยข้อความระบุไว้ว่า..


"ชูวิทย์กลับมาอีกครั้ง หลังจากผมไปรักษาตัวมา 2 ปี วันนี้กลับมาในสถานะ “พลพรรครักประเทศไทย” ชีวิตที่เฉียดความตาย ประคับประครองร่างกายที่ถูกโรคร้ายกัดกิน จนน้ำหนักเหลือเพียง 58 กิโลกรัม จากเดิม 80 กิโลกรัม ไม่ต้องบอกว่าทรมานแค่ไหน แต่อยากบอกกับทุกคนว่า “ต้องสู้แค่ไหน” มากกว่า

สารภาพกันตรงๆ “สู้กับคน ไม่ยอมคนมามากมาย ยังไม่เหนื่อยเท่าการต่อสู้กับตัวเอง” แต่นี่คือวิถีชีวิตปกติของมนุษย์คนหนึ่ง

.

“พลพรรครักประเทศไทย” ไม่ได้เป็นพรรคการเมือง ที่ต้องนำเงินมาทุ่มกับการแข่งขัน และแสดงเทคนิคหาเสียงเพื่อได้ สส. มาแปลงเปลี่ยนเป็นอำนาจ เอื้อประโยชน์ สนองตัณหาตนเอง แล้วนำเงินที่ได้จากการเมืองกลับมาใช้เป็นทุนหาเสียงแสวงรักษาอำนาจในครั้งต่อไป

ทำแม้กระทั่งแจก “กล้วย” ดึง สส. มาสังกัดพรรคเหมือนเปลี่ยนรองเท้า เพื่อจะเอาไปต่อรองร่วมรัฐบาล ประชาชนเขามองเป็นเรื่องขบขัน เสมือนหนึ่งนั่งดูหนังละครที่จบไปเป็นซีรี่ย์ แต่นี่กลับเป็นเรื่องจริงที่น่าสมเพช การทำลายวงจร “ธุรกิจการเมือง” จึงจำเป็นอย่างยิ่งในสถานการณ์ปัจจุบัน หากระบบการเมืองไทยยังคงเป็นแบบนี้ต่อไป อนาคตของเราคงคาดเดาได้ไม่ยาก เพียงแต่บางท่านยังมองไม่ถึงจุดนั้น ถึงเวลาต้องตั้งคำถามกับตัวเองว่า “ทำอะไรให้ประเทศนี้บ้าง” ก่อนจะถามว่า “ประเทศทำอะไรให้เราบ้าง” 

.

ผมเคยถามมหาเศรษฐีที่มากด้วยเงินทอง อำนาจ วาสนา แล้วกลับล้มละลายลงว่า มันเกิดขึ้นได้อย่างไร? พวกเขาตอบเหมือนๆ กันว่า มันเกิดขึ้นเร็วมาก เร็วจนไม่ทันตั้งตัว แรกๆ ก็คิดว่าจะผ่านไปได้ แต่เมื่อถึงวันที่หมดสิ้นก็ช้าเกินกว่าจะแก้ไขเสียแล้ว นั่นเป็นเรื่องของธุรกิจ แต่เราไม่สามารถเอาประเทศไปเดิมพันให้ล้มละลายแบบนั้นได้ ประเทศไทยยังอยู่ที่เดิมบนแผนที่โลก ชีวิตของประชาชนอย่างพวกเราต่างหาก ที่จะเปลี่ยนแปลงไปไม่เหมือนเดิม 

.


 การ “สร้างภูมิปัญญา” เพื่อรู้เท่าทันผู้ปกครองที่อ่อนแอ ฉ้อฉล เสพติดในอำนาจ จึงเป็นเรื่องที่ประชาชนอย่างเราๆ ท่านๆ พึงกระทำ นโยบายสาธารณะที่ใช้กับพวกเราจะต้องเป็นเรื่องที่สามารถวิพากษ์วิจารณ์ต่อต้านได้ เพื่อให้บรรดาผู้ปกครองบ้านเมืองตระหนักว่า ประชาชนไม่เห็นด้วย อย่างเรื่องกัญชาที่เป็นยาเสพติด แค่ระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา พวกเราประชาชนยังสับสนไม่เข้าใจ เพราะบางทีก็ว่า “กัญชาเสรี” บางทีก็ว่า “กัญชาทางการแพทย์” จากเป็นยาเสพติดอยู่แท้ๆ ดันเอาออกมาขายกันได้เสรีทั่วไป คนซื้อมาสูบข้างถนนจนกลิ่นคลุ้งไปทั่ว ผู้ปกครองต้องระวังลูกหลานของตัวเองไม่ให้ไปเผลอลองสูบกัญชา จนวันนี้กลับมาควบคุมใหม่ จะเอากลับไปเป็นยาเสพติดอีก 

.

นโยบายสำคัญเกี่ยวกับยาเสพติดอันมีผลร้ายแรงต่อเยาวชนคนทั่วไป กลับทำเหมือนเด็กเล่นขายของ แล้วโยนให้ประชาชนไปสุ่มเสี่ยงกันเอาเอง โดยไม่มีใครยอมรับว่าเป็นต้นเหตุ ทุกคนอ้างว่า “ทำเพื่อประชาชน” กันหมด แต่ประชาชนกลับรู้สึกเหมือนนั่งดูเด็กทะเลาะกัน “ฉันให้เธอได้ เพราะเป็นพวกฉัน ตอนนี้อยู่คนละพวกแล้ว ฉันไม่ให้” ทั้งที่แต่ก่อนก็เล่นกระโดดยางด้วยกันอยู่แท้ๆ ขนาดเป็น “ยาเสพติด” ยังทำกันป่นปี้แบบนี้ กลับไปกลับมาในระยะเวลาสั้นๆ แค่ 2 ปี ทุกอย่างกลับตาลปัตร 2 ตลบ ตีลังกาจนประชาชนตั้งตัวไม่ทัน แล้วที่ผ่านไปใครรับผิดชอบ?

.

นี่ไม่ใช่เพราะนักการเมืองหรือ? อย่างนี้พวกท่านคิดยังไง? ไม่ใช่ผมไม่เห็นด้วย เพราะผมรณรงค์ให้เป็น “กัญชาทางการแพทย์” มาโดยตลอด แต่สมเพชกับการเห็นเรื่องยาเสพติดเป็นเรื่องเล่นๆ มีประเทศไหนเขาทำกันแบบนี้?

.

ผมกลับมาครั้งนี้คงเป็นวาระสุดท้าย เสมือนเส้นด้ายที่กำลังถูกดึงออกจากแกน และใกล้จะหมดไป เมื่อถึงวันที่เส้นด้ายหมด ก็เอากันได้แค่นั้น ชีวิตมันสั้นครับ แต่ก่อนจะถึงวันนั้น บางทีเสียงกระซิบของผม ท่ามกลางความเงียบงัน อาจเป็นเสียงที่กังวาลให้ท่านได้ระลึกถึงบ้างก็ได้ไม่มากก็น้อย

.

ขอขอบคุณทุกท่าน ที่ยังระลึกถึงผมอยู่"


ดิษฐพงษ์ ทองชิว รองผู้อำนวยการสถานี news 24

แสดงความคิดเห็น