วันนี้ 12 เม.ย.68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายพนม โพธิ์แก้ว สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเขต 5 จังหวัดกาญจนบุรี พร้อมนายสุริยะศักดิ์  เหมือนอ่วม นายอำเภอสังขละบุรี  พันตำรวจเอกสันติ  พิทักษ์สกุล ผกก.สภ.สังขละบุรี หัวหน้าส่วนราชการ นางสาวสรียา  บุญมาก ผอ.ททท.กาญจนบุรี  ได้เดินทางไปร่วมงานสืบสานประเพณีสงกรานต์ ที่วัดสะเนพ่อง หมู่ 1 ตำบลไล่โว่ อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี  โดยมี นายสมชาย  วุฒิพิมลวิทยา นายก อบต.ไล่โว่ รวมทั้งประชาชนชาวไทยเชื้อสายกะเหรี่ยงมาให้การต้อนรับ และร่วมงานประเพณีสงกรานต์เป็นจำนวนมาก

สำหรับประเพณีสงกรานต์ของชาวไทยเชื้อสายกะเหรี่ยงนั้น ถือเอาวันพระ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 5 เป็นวันมหาสงกรานต์ โดยเช้าวันนี้ชาวบ้านทุกเพศทุกวัย ต่างจูงลูกจูงหลานเดินทางมายังวัดสะเนพ่อง ซึ่งเป็นสถานที่จัดงานสงกรานต์ในทุกๆปี พิธีการเริ่มตั้งแต่ช่วงเช้า ด้วยการรับศีล ฟังธรรมจากพระภิกษุสงฆ์

ต่อจากนั้นผู้ที่มาร่วมงานจะร่วมกันตักบาตรข้าวสุกใต้ต้นโพธิ์ ก่อนจะนำเข้าในบาตรไปถวายพระภิกษุ กรวดน้ำอุทิศบุญกุศลที่ได้ทำในครั้งนี้ ต่อจากนั้นจึงเข้าสู่พิธีการไหว้เทพยดา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เจ้าป่า เจ้าเขา ที่ปกปักรักษาหมู่บ้านตามคติความเชื่อที่สืบทอดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษชาวกะเหรี่ยง

ต่อด้วยพิธีล้างต้นโพธิ์ ขอขมาต้นโพธิ์ โดยทุกคนจะนำสะอาดที่บรรจุอยู่ในกระบอกไม้ไผ่ พร้อมน้ำสมิ้นส้มป่อย มาทำการล้างรากและลำต้นของต้นโพธิ์ ก่อนไม้ไผ่ที่เตรียมเอาไว้มาทำพิธีค้ำต้นโพธิ์  นำดอกไม้ ธูป เทียน มาสักการบูชาต้นโพธิ์ ทั้งนี้ที่มาของพิธีรดน้ำและขอขมาต้นโพธิ์นั้นสืบทอดกันมาตั้งแต่เมื่อครั้งที่ชาวกะเหรี่ยงรับศาสนาพุทธมาจากชาวมอญ ในสมัยนั้นการจะสร้างวัด สร้างพระ หรือสถูปเจดีย์ เพื่อเป็นตัวแทนของพระพุทธองค์นั้นทำได้ยาก เนื่องจากชาวกะเหรี่ยงอาศัยอยู่ตามป่าเขา จึงเห็นควรยึดเอาต้นโพธิ์ ที่ขึ้นอยู่ในป่าเป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้า เนื่องจากต้นโพธิ์ เป็นสถานที่ประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพาน ของพระพุทธเจ้านั่นเอง

 


หลังจากพิธีรดน้ำต้นโพธิ์แล้วผู้ร่วมงานทั้งหมดร่วมกันไหว้เจดีย์ทรายที่ได้ร่วมกันนำทรายจากริมน้ำโรคี่ ที่อยู่ด้านหลังวัด มาก่อเป็นเจดีย์ทรายในช่วงเช้า ทั้งนี้มีคติความเชื่อว่าการจะนำทรายมาสร้างเจดีย์จะต้องตักทราย(ใช้มือหรือช้อนตัก)ให้มีจำนวนมากกว่าอายุผู้ตัก 1 ช้อน (เช่นถ้าผู้ตักทรายมีอายุ 30 ปี ต้องตักทรายจำนวน31กำหรือช้อน)ทั้งนี้เชื่อกันว่าจะเป็นการต่ออายุให้กับตัวเอง 

เมื่อเสร็จสิ้นพิธีไหว้เจดีทรายแล้วก็จะต่อด้วยพิธีทำความสะอาด และขอขมาสะพาน ซึ่งเป็นสะพานข้ามรำห้วยโรคี่ที่ชาวบ้านร่วมกันสร้างขึ้นมาจากไม้ไผ่ก่อนถึงวันสงกรานต์ ด้วยการนำขมิ้นส้มป่อยมาปะพรมพร้อมดอกไม้และเทียน ทั้งนี้ชาวกะเหรี่ยงมีความเชื่อว่าการสร้างสะพานเป็นบุญที่ยิ่งใหญ่ จะส่งผลให้สามารถข้ามผ่านอุปสรรค ปัญหา ต่างๆที่จะเข้ามาในชีวิตไปได้ ทำการ ทำงานก็จะไร้อุปสรรค 


ก่อนจะจบพิธีในช่วงเช้าด้วยปล่อยปลา ที่ได้จากการไปช่วยเหลือจากแหล่งน้ำที่ใกล้จะแห้งขอดเพื่อนำลงปล่อยในแม่น้ำโรคี่ เพื่อเป็นการให้ชีวิตใหม่และการอนุรักษ์พันปลานั่นเอง โดยชาวกะเหรี่ยงมีความเชื่อว่าการได้ปล่อยปลาในวันมหาสงกราต์นั้นมีอานิสงส์ให้แม้ชะตาชีวิตตกอยู่ในขั้นต้องตายก็จะสามารถผ่านพ้นไปได้ ซึ่งกิจกรรมทั้งหมดนั้นชาวบ้านในพื้นที่ให้ความสำคัญ และจะต้องปฏิบัติทุกครั้งเมื่อถึงวันมหาสงกรานต์

พอตกช่วงบ่ายก็จะมาถึงอีกพิธีสำคัญที่ทุกคนรอคอย คือพิธีสรงน้ำพระพุทธรัตนสังขละบุรี ศรีสุวรรณ (พระแก้วขาว) โดยจะเริ่มด้วยพ่อเมือง(นายอำเภอ)จะเป็นผู้พิธีอัญเชิญพระแก้วขาวออกจากศาลาวัดสะเนพ่อง(ซึ่งมีเพียงปีละครั้งเท่านั้น) มายังศาลาพิธีที่ถูกสร้างและประดับประดาด้วยตุง ธง และดอกไม้ ให้มีความสวยงาม  ก่อนที่พระภิกษุสงฆ์จะเจริญพุทธมนต์ เพื่อความเป็นศิริมงคลของพิธีและผู้ที่มาร่วมพิธี ต่อจากนั้นจึงให้พระภิกษุ และแม่ชีทำพิธีสรงน้ำ ซึ่งน้ำที่ใช้เป็นน้ำหอมแป้งขมิ้น และลูกส้มป่อยที่ผ่านกระบวนการเผาทำให้มีกลิ่นหอม ซึ่งเป็นภูมิปัญญาของชาวบ้านในพื้นที่ 

สำหรับพระแก้วขาว ถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และอยู่คู่บ้านคู่เมืองสังขละบุรีมาตั้งแต่ยุคพระศรีสุวรรณคีรี เป็นเจ้าเมืองสังขละบุรี โดยมีความเชื่อว่าเป็นพระพุทธรูปที่พระศรีสุวรรณคีรี(เจ้าเมืองสังขละบุรี)ได้รับพระราชทานจากรัชกาลที่ 3 และนำมาประดิษฐานวันที่วัดสะเนพ่องแห่งนี้ตั้งแต่ครานั้น โดยบ้านสะเนพ่อง ในอดีตนั้นเป็นที่ตั้งของเมืองสังขละบุรี ก่อนจะมีการย้ายเมืองมายังสถานตั้งปัจจุบันในเวลาต่อมา

กิจกรรมประเพณีสงกรานต์ขั้นตอนสุดท้ายคือ ทุกคนร่วมกันสรงน้ำพระผ่านกระบอกไม้ไผ่ที่นำมาผ่าซีกแล้วเรียงต่อๆ กันเป็นทอดยาว และพิธีที่สำคัญ และถือว่าเป็นเอกลักษณ์คือ การให้ประชาชนมานั่งคุกเข่าเรียงรายกันกลายเป็นสะพานมนุษย์เพื่อให้พระสงฆ์เดินบนหลังเริ่มตั้งแต่บันไดศาลาวัด มายังซุ้มอาบน้ำบริเวณปลายกระบอกไม้ไผ่ที่ชาวบ้านสรงน้ำลงมา สำหรับการทำสะพานมนุษย์เพื่อให้พระสงฆ์เดินเหยียบบนหลังนั้นชาวบ้านต่างเชื่อกันว่า เป็นสิริมงคลต่อชีวิตอีกทั้งจะทำให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บโดยเฉพาะอาการปวดเมื่อย โดยกิจกรรม และพิธีในงานประเพณีสงกรานต์ที่จัดขึ้นทุกปี ชาวบ้านจะเน้นพิธีกรรมที่ทำสืบต่อกันมาแต่สมัยบรรพบุรุษที่ยังคงเป็นวิถีที่งดงามเรียบง่าย และจะยังคงอยู่คู่บ้านคู่เมืองสังขละบุรี สืบไป

///////////////////////////////////////////////////////////

ข่าวภูมิภาคกาญจนบุรี / ปรีชา   ไหลวารินทร์

หมายเหตุ...ภาพ...มีจำนวน 2 ก้อน บรรยากาศปรพณีสงกรานต์ และสัมภาษณ์ ผอ.ททท. ครับ


แสดงความคิดเห็น