ผลสำรวจพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯและปริมณฑล ร้อยละ 63.20 รองลงมาคือภาคกลาง ร้อยละ 21.70 ภาคตะวันออก ร้อยละ 4.90 ภาคใต้ ร้อยละ 3.20 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยละ 3.00 ภาคเหนือ ร้อยละ 2.60 และภาคตะวันตก ร้อยละ 1.40 เมื่อถามถึง พรรคการเมืองที่ประชาชนอยากให้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลหลังเลือกตั้ง 2569 พบว่า พรรคประชาชน นำมาเป็นอันดับหนึ่ง ร้อยละ 32.60 ตามด้วย พรรคเพื่อไทย ร้อยละ 18.20 และพรรคภูมิใจไทย ร้อยละ 8.50 ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ ร้อยละ 6.60 พรรคไทยก้าวใหม่ ร้อยละ 5.40 พรรคเศรษฐกิจ ร้อยละ 2.30 พรรคพลังประชารัฐ ร้อยละ 2.20 พรรครวมไทยสร้างชาติ ร้อยละ 1.70 และพรรคไทยสร้างไทย ร้อยละ 0.90 ส่วนผู้ที่ยังไม่ตัดสินใจหรือเลือกพรรคอื่นนอกตัวเลือก มีสัดส่วนสูงถึง ร้อยละ 21.60
ด้าน บุคคลที่ประชาชนอยากให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป ผลปรากฏว่า นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ครองอันดับหนึ่ง ร้อยละ 24.40 ตามด้วย นายอนุทิน ชาญวีรกูล ร้อยละ 14.20 นายยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ ร้อยละ 12.00 และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ร้อยละ 9.60 ขณะที่คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ ร้อยละ 4.40 พล.อ.รังษี กิติญาณทรัพย์ ร้อยละ 3.30 พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ ร้อยละ 2.30 นายพีรพันธุ์ สาลีรัชวิภาค ร้อยละ 1.80 และนายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ร้อยละ 1.70
ทั้งนี้ กลุ่มที่ยังไม่ตัดสินใจหรือเลือกผู้นำทางการเมืองอื่น เช่น นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ นายกัน จอมพลัง มีสัดส่วนสูงถึง ร้อยละ 26.30
สำหรับ ปัจจัยในการตัดสินใจเลือกผู้สมัคร ส.ส.แบบแบ่งเขต พบว่า ประชาชนให้ความสำคัญทั้งพรรคการเมืองและตัวบุคคลควบคู่กันมากที่สุด ร้อยละ 50.20 รองลงมาคือพิจารณาที่ตัวบุคคลเป็นหลัก ร้อยละ 27.00 และคำนึงถึงพรรคการเมืองที่ผู้สมัครสังกัดเป็นหลัก ร้อยละ 22.80
ขณะที่ รูปแบบการเลือกตั้ง ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อและแบบแบ่งเขต พบว่ายังมีประชาชนที่ไม่ตัดสินใจสูงถึง ร้อยละ 49.50 ส่วนผู้ที่เลือกทั้งพรรคและผู้สมัครจากพรรคเดียวกันมี ร้อยละ 40.70 และเลือกพรรคหนึ่งแต่เลือกผู้สมัครอีกพรรคในระบบแบ่งเขต ร้อยละ 9.80
ผลโพลครั้งนี้สะท้อนชัดว่า การเมืองไทยกำลังอยู่ในช่วง “เปลี่ยนกระแส” เมื่อพรรคประชาชนและแคนดิเดตนายกฯอย่างนายณัฐพงษ์ ก้าวขึ้นมาเป็นตัวแปรสำคัญ ขณะที่ประชาชนจำนวนมากยังชั่งใจ และให้น้ำหนักทั้ง “คน” และ “พรรค” ควบคู่กันในการตัดสินอนาคตการเมืองไทย



แสดงความคิดเห็น