คืบหน้า ศึกมรดก ปมน้องสาวพิการตาบอด ร้องขอความช่วยเหลือถูกพี่ชายฮุบที่มรดก 15 ไร่ ชนะคดีแล้วแต่กลับไม่ยอมแบ่งที่ดินตามคำสั่งศาล ปล่อยยืดเยื้อมา 15 ปี  หลังรองอธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ มอบหมายให้ยุติธรรมจ.บุรีรัมย์ ร่วมกับทนายอั๋น  นัดทั้งสองฝ่ายเจรจาไกล่เกลี่ยสุดท้ายลูกชายจำเลยที่อ้างครอบครองสิทธิในที่ดินยอมแบ่งที่ตามคำสั่งศาล ให้น้องชายพ่อทั้ง 4 คนแล้วและจะไม่ฟ้องร้องกันอีก   ต่างฝ่ายต่างยกมือไหว้ขอโทษ  ป้าร่ำไห้ดีใจเผยไม่โกรธพี่ชายยังไงก็สายเลือดเดียวกัน  ความคืบหน้ากรณีที่นางสัมฤทธิ์    อายุ 66 ปี พิการตาบอด  และนางทองดี    อายุ 59 ปี สองพี่น้องชาวบ้านประดู่  ต.เมืองโพธิ์  อ.ห้วยราช  จ.บุรีรัมย์  ได้หอบเอกสารหลักฐานและคำพิพากษาศาลที่ชนะคดีแล้วตั้งแต่ปี 2557  กอดกันร้องไห้ ขอความช่วยเหลือกับนายภัทรพงศ์   ศุภักษร  หรือทนายอั๋นบุรีรัมย์

หลังจากพ่อแม่เสียชีวิตแล้วนายสวัสดิ์  พี่ชายคนโต จากจำนวนพี่น้องทั้งหมด 8 คน  ได้ฮุบที่ดินมรดกเนื้อที่ประมาณ 17 ไร่เศษ ซึ่งไม่มีเอกสารสิทธิ์ครอบครองทำกินเพียงผู้เดียว   ทั้งที่แม่สั่งเสียไว้ก่อนตายให้แบ่งแก่พี่น้องทุกคนเท่ากัน  จากนั้น ปี 2552  น้องชายและน้องสาวจำนวน 5 คนจึงร่วมกันเป็นโจทย์ยื่นฟ้อง พี่ชายคนโต  ที่ฮุบเอาที่ดินมรดกคนเดียว   ต่อมาปี 2553  ศาลจังหวัดบุรีรัมย์มีคำพิพากษา ให้พี่ชายคนโตซึ่งเป็นจำเลย แบ่งที่ดินแปลงพิพาทดังกล่าวให้แก่น้องทั้ง 5 คน ที่เป็นโจทย์ยื่นฟ้องคนละ 1 ใน 7 ของจำนวนที่ดินที่พิพาท  และให้ชำระค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทย์ทั้ง 5 ด้วย  ต่อมาจำเลยยื่นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น  แต่จำเลยยังได้ยื่นฎีกาอีกเมื่อปี 2557 แต่ศาลไม่รับฎีกาของจำเลย ถือว่าคดีสิ้นสุด

ขณะที่นายสุชาติ  ลูกชายของนายสวัสดิ์ จำเลยในคดี  ก็ได้งัดหลักฐานออกมายืนยันว่าครอบครัวจ่ายเงินไถ่ที่แปลงพิพาทที่ปู่นำไปจำนำไว้ และให้เงินส่วนต่างญาติพี่น้องทุกคน เมื่อปี 2532 จึงเข้าครอบครองทำกินและเสียภาษีบำรุงท้องที่มาตลอด  ไม่เคยมีใครโต้แย้งผ่านไป 20 ปีกลับยื่นฟ้องศาล ยันไม่ได้ขัดคำสั่งศาลแต่มันขัดกับข้อเท็จจริง  

จากกรณีที่เกิดขึ้น นายธีรยุทธ   แก้วสิงห์   รองอธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ  จึงได้มอบหมายให้ทางยุติธรรมจังหวัดบุรีรัมย์ นัดทั้งสองฝ่ายมาพูดคุยไกล่เกลี่ยกัน  

โดยล่าสุดทางยุติธรรมจังหวัดบุรีรัมย์

ก็ได้เชิญทั้งสองฝ่ายมาเจรจาไกล่เกลี่ยกันที่สำนักงายุติธรรมจังหวัด  โดยมีนายธนิชพนธ์   ธนศักดิ์สุธี  เป็นผู้ไกล่เกลี่ย  และนายภัทรพงศ์  ศุภักษร หรือทนายอั๋น   ในฐานะผู้รับเรื่องร้องกรณีดังกล่าว ร่วมในการพูดคุยไกล่เกลี่ย  หลังจากการพูดคุยไกล่เกลี่ยกันประมาณ 2 ชั่วโมง  ก็ได้ข้อสรุปว่านายสุชาติ  ลูกชายนายสวัสดิ์  จำเลยในคดี ที่อ้างสิทธิเป็นผู้ครอบครองทำกินในที่ดินดังกล่าว  ยอมยกที่ดินพิพาทจำนวน 6 ไร่ ให้กับน้องสาว พ่อและลูกหลานทายาทของน้องชายพ่อ ที่เป็นโจทย์ในคดี จำนวน 4 คน ส่วนที่เหลืออีก 9 ไร่นายสุชาติ ไว้ทำกิน  คู่กรณีทั้งสองฝ่ายไม่ติดใจเรียกร้องหรือใช้สิทธิ์ทางกฎหมายต่อไป และทั้ง 4 คน จะต้องชดใช้ค่าจัดงานศพให้นายถูก ทายาทที่เสียชีวิตไปคนละ 5,000 บาทให้กับนายสุชาติ 

จากนั้นผู้ไกล่เกลี่ยได้อ่านบันทึกข้อตกลงการไกล่เกลี่ยระงับข้อพิพาทให้ทั้งสองฝ่ายฟัง  ทั้งสองฝ่ายยอมรับและได้ลงนามในบันทึกข้อตกลง

และหลังเสร็จสิ้นการไกล่เกลี่ยทั้งสองฝ่ายต่างก็ยกมือไหว้ขอโทษซึ่งกันและกัน 

นางทองดี  กล่าวทั้งน้ำตาว่า  ดีใจมากโล่งใจมากที่ได้ข้อยุติในวันนี้ เพราะสู้มาหลายปีแล้ว ที่ผ่านมาอาจจะไม่สามารถพูดคุยกันได้แต่วันนี้พูดคุยกันเข้าใจและหลานก็ยอมแบ่งที่ให้แล้ว ก็ไม่ได้ถือโกรธอะไรแล้วยังไงก็สายเลือดเดียวกัน  ก็ตั้งใจว่าจะหาโอกาสไปหาไปขอโทษพี่ชายหลังจากทุกได้ข้อยุติ  อยากไปกอดพี่ชายแม้ที่ผ่านมาจะเคยฟ้องร้องสู้คดีกัน  แต่ด้วยความที่เป็นสายเลือดเดียวกันก็ให้ตัดกันไม่ขาดยังไงก็ยังรักและเคารพพี่ชาย   ก็อยากขอบคุณทุกคนที่มีส่วนช่วยเหลือในครั้งนี้จนจบปัญหาที่เรื้อรังมา 15 ปีได้

ด้านนายสุชาติ  ลูกชายนายสวัสดิ์   ก็บอกว่า  ความตั้งใจของตัวเองคือไม่อยากให้พี่น้องทะเลาะกันอีก จึงยอมแบ่งที่ดินให้น้องของพ่อ หลังจากนี้ก็จะได้ไปเดินเรื่องออกโฉนดเพื่อให้มีเอกสารสิทธิ์ในที่ดินถูกต้องตามกฎหมาย  และต่างคนก็ต่างทำมาหากิน   แต่ก็อยากจะบอกกับสังคมให้เข้าใจว่าจริงแล้ว พ่อและครอบครัวไม่มีเจตนาจะขัดคำพิพากษาศาล

แต่อยากให้เข้าใจถึงข้อเท็จจริงว่าสมัยนั้นพ่อแม่เป็นคนหาเงินไปไถ่ถอนที่ดินดังกล่าวมาไม่งั้นก็คงไม่มีที่ดินแปลงนี้อยู่   แต่ปัญหาคือไม่มีหลักฐานแต่ทุกคนก็รับรู้  แต่เมื่อต่อสู้ในกระบวนการกฎหมายมันขัดแย้งกับข้อเท็จจริง  ก็ยอมรับในกระบวนการตัดสินของศาล  แต่ก็อยากให้เข้าใจและให้ความเป็นธรรมกับครอบครัวตนบ้าง  แต่วันนี้ได้ข้อยุติก็สบายใจ

ขณะที่ทนายอั๋น   บอกว่า  การเจรจาไกล่เกลี่ยกรณีดังกล่าวถือว่าจบลงอย่างสวยงาม ไม่ต้องการเสียเวลาเสียเงินเสียทองไปเข้าสู่กระบวนการใหม่อีก   เพราะหากฝ่ายจำเลยไม่ยอมทางโจทย์ก็จะต้องดำเนินการฟ้องขับไล่  หรืออาจจะเข้าไปแบ่งเอาเลยตามคำพิพากษาศาล  ซึ่งก็จะไม่เป็นผลดีกับทุกฝ่าย  แต่วันนี้ก็จบลงด้วยการตกลงเจรจากันได้  โดยที่ตนเองก็เป็นส่วนหนึ่งในการนำความยุติธรรมที่ 15 ปีเขาขาดหายไป  แต่วันนี้จบลงด้วยการหันหน้าพูดคุยกันก็ดีใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งที่ทุกฝ่ายตกลงกันได้ด้วยดี





      สุรชัย     พิรักษา / บุรีรัมย์

แสดงความคิดเห็น