โดยผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสุรินทร์ ได้สอบถามนางสาวธัญวลัย สมชื่อ
ผู้เช่าทำผลประโยชน์ในพื้นที่ สปก. ตั้งแต่ปี 2563 บอกว่าตนเองทำนาแล้วขาดทุน
ไหนจะค่าปุ๋ย18 กระสอบๆละ 600 บาทรวมกว่า
40000 กว่าบาทไม่รวมค่าไถหว่านไม่รวมค่าพันธุ์ข้าว
ต้องใช้ในพื้นที่ 9 ไร่
ผลผลิตไม่ได้ตามหวัง
แหล่งน้ำไม่พอ
จึงอยากปรับพื้นที่มาปลูกมันสำปะหลัง ปลูกยาง แทน จึงให้หลานๆตัดต้นไม้จำนวน 9 ต้นเพื่อปรับนาดินใหม่
ซึ่งไม่ทราบว่าเป็นไม้หวงห้าม จนมาถูกจับกุมดังกล่าว
ซึ่งผู้บังคับการตำรวจได้แจ้งไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจ
และฝ่ายปกครอง ผู้นำชุมชน ให้บอกกล่าวชาวบ้านที่ทำนาทำไร่ในพื้นที่ของ สปก. ว่า
อย่าตัดไม้หวงห้ามในพื้นที่เด็ดขาดเพราะเป็นความผิดตามกฎหมาย
ส่วนไม้ที่ตัดโค่นลง 9 ต้น พบว่ามีบางส่วนนำไปขายยังโรงรับซื้อไม้ ให้ ตำรวจดำเนินการสอบสวนด้วยพร้อมแจ้งข้อหาชาย
4 คน ประกอบด้วยนายพิชิตย์ ทองสายศร อายุ 41 ปี นายสุขอุดม
วิโรจน์รัศมี อายุ 25 ปี นายสมศักดิ์ สมชื่อ อายุ 27
ปีและนายสุรสิทธิ์
สมานทอง อายุ 24 ปี ราษฏรตำบลกาบเชิง
ในข้อหา ทำผิดตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ พความผิดตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484 ม.11
ฐานร่วมกันทำไม้โดยไม่ได้รับอนุญาต,
ม.69
ฐานร่วมกันมีไว้ในครอบครองซึ่งไม้หวงห้ามอันยังมิได้แปรรูป
โดยไม่มีรูปรอยดวงตราค่าภาคหลวง หรือตรารัฐบาลขาย , และผิดตาม
พ.ร.บ.เลื่อยโซ่ยนต์ พ.ศ.2545 มาตรา 4
ฐานร่วมกันมีเลื่อยโซ่ยนต์ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ตรวจยึดของกลาง รถยนต์กระบะ ยี่ห้อโตโยต้า 1 คัน เลื่อยโซ่ยนต์
จำนวน 2 เครื่อง ไม้ของกลางเป็นชนิดไม้
ไม้มะกราด ไม้สะแบง ไม้มะพอก ทั้งหมด 18 ท่อน ปริมาตร รวม 4.2992 ลบ.ม.
มูลค่าความเสียหายของรัฐ 42,980 บาท
ถือเป็นบทเรียนและให้ความรู้แก่เกษตรกรที่ทำนาไร่ในพื้นที่
สปก. ที่หลวง ควรปรึกษาผู้นำชุมชน
หรือเจ้าหน้าที่ป่าไม้
ก่อนที่จะลงมือปรับเปลี่ยนที่นาไร่
ทั้งการตัดโค่นต้นไม้ในพื้นที่
ซึ่งหากเป็นไม้หวงห้ามแล้วจะถูกดำเนินคดีตามกฏหมายได้
อัศววัฒน์
พัฒน์ทองกนก จ.สุรินทร์ รายงาน
แสดงความคิดเห็น