หนุ่มนักธุรกิจชาวตุรกี วอนจับมือดีลอบทำร้ายรถแห่โปรโมทรับสมัครสาวอะโกโก้ เชื่อขัดผลประโยชน์ทางธุรกิจ

หนุ่มนักธุรกิจชาวตุรกี วอน ตร.เร่งจับวัยรุ่นลอบทำร้ายรถแห่โปรโมทรับสมัครสาวอะโกโก้ เชื่อเป็นการขัดผลประโยชน์ธุรกิจจากการโฆษณาให้ลูกค้า ชี้เป็นการกระทำที่ป่าเถื่อนจากกรณี นายพงษกร ทองปลื้ม อายุ 41 ปี หนุ่มลูกจ้างขับรถแห่โปรโมทสถานบันเทิงเปิดใหม่ อยู่บนถนนเลียบชายหาดพัทยา จู่ๆ โดนวัยรุ่น 4-5 คน ขับขี่รถจักรยานยนต์ตามประกอบ จากนั้นใช้เหล็กฟาดจอแสดงผลแบบ LED มูลค่า 1 แสนบาท ได้รับความเสียหาย คาดปมคู่แข่งธรุกิจลูกค้า หรือไม่พอใจเพราะแสงมันแยงตา ขณะที่ ตร.ลงพื้นที่เร่งเช็กกล้องวงจรปิดล่าตัวคนร้าย เหตุเกิดขึ้นเมื่อคืน 23 ก.ย. ที่ผ่านมา ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้นคืบหน้าล่าสุด เย็นวันที่ 23 กันยายน นายซิฮัด อายุ 24 ปี นักธุรกิจหนุ่มชาวตุรกี เจ้าของบริษัทรถโมบายติดตั้งจอ LED ไว้ โฆษณาลูกค้า ที่โดนลอบทำร้าย ออกมาเปิดเผยว่า การลงมือครั้งนี้ เชื่อว่าน่าจะเป็นการขัดผลประโยชน์เรื่องธุรกิจอย่างแน่นอน เพราะว่าก่อนหน้านี้ได้รับการว่าจ้างจากอะโกโก้หลายแห่งในเมืองพัทยา เข้ามาให้บริษัทช่วยขับรถแห่โปรโมท ในเชิงรับสมัครสาวพนักงานสาว ตามเส้นทางที่กำหนด 

ส่วนใหญ่จะเป็นถนนในตัวเมือง ผ่านจุดแหล่งเปิดสถานบริการหลายแห่ง โดยเมื่อไม่กี่วันก่อนได้ถูกคนลอบทำร้ายรถแห่มาแล้ว 1 ครั้ง แต่จอได้รับความเสียหายเล็กน้อย กระทั่งเมื่อคืนนี้หนักสุดพนักงานแจ้งมาว่าถูกกลุ่มวัยรุ่น 4-5 คน สวมหน้ากากปิดบังใบหน้า ขับขี่รถจักรยานยนต์ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน 2-3 คัน เข้ามาประกบด้านข้างจอฉายโฆษณา จากนั้นใช้ท่อนเหล็กฟาดจอ LED ที่ติดตั้งอยู่ด้านหลังรถ จนได้รับความเสียหาย

โดยเชื่อว่ากลุ่มคนร้ายมีการวางแผน และเตรียมการมาอย่างดี ไม่เชื่อว่าจะเป็นการขับรถปาดหน้าบนท้องถนน หรือไฟจอฉายจะไปแยงตา เพราะเมืองพัทยาขึ้นชื่อเป็นเมืองแห่งแสงเสียงอยู่แล้วจึงไม่มีจุดสงสัยที่คนท้องถิ่นจะมากระทำการเช่นนี้ ส่วนตัวคิดว่าน่าจะเป็นกลุ่มคนประกอบธุรกิจสถานบริการที่สูญเสียบุคคลกรไปทำงานร้านลูกที่บริษัทตัวเองเป็นผู้โปรโมทมากกว่า

ซึ่งการก่อเหตุนั้นถือว่าป่าเถื่อน สร้างความหวาดกลัวต่อพนักงาน และบริษัทเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตามจึงวิงวอนให้ สภ.เมืองพัทยา หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ช่วยเรียกและสร้างความมั่นใจให้นักลงทุนในเมืองพัทยา ในการเร่งรัดติดตามตัวกลุ่มผู้ก่อเหตุ หากปล่อยคนร้ายลอยนวลในสังคมอยู่แบบนี้ จะทำให้ชาวบ้านใช้ชีวิตกันลำบากในเรื่องความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน.

ธีรวัฒน์ ทองมา/รายงาน