สถานการณ์ธุรกิจภาคขนส่งสินค้ากำลังได้รับผลกระทบอย่างหนัก  ล่าสุดรถบรรทุกพ่วงขนส่งสินค้าที่วิ่งรับส่งสินค้าข้ามจังหวัด ที่อยู่ในเขตพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์  ที่ไปต่อไม่ไหวต้องแจ้งจอดหยุดวิ่งรับส่งสินค้าแล้วจำนวน 15 คัน  เพราะแบกรับภาระต้นทุนจากราคาน้ำมันที่แพงขึ้นอย่างต่อเนื่องไม่ไหว  ประกอบกับการจ้างงานภาคขนส่งสินค้าลดน้อยลง  ทั้งยังมีการแข่งขันกับรถขนส่งสินค้าจากต่างประเทศด้วย   

โดยนายภาณุพงศ์  นนทะอุด  ประธานชมรมรถบรรทุกขนส่งสินค้า จ.บุรีรัมย์  ระบุว่า  จังหวัดบุรีรัมย์มีรถบรรทุกและรถบรรทุกพ่วงขนส่งสินค้าประมาณ 120 คัน   แต่หลังจากได้รับผลกระทบจากการปรับราคาน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง  ประกอบกับปัญหาภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำ

ทำให้การจ้างงานรถบรรทุกขนส่งสินค้าลดลงต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2561    ทำให้ผู้ประกอบการโดยเฉพาะที่วิ่งรับส่งสินค้าข้ามจังหวัด อาทิ  จ.กาฬสินธุ์   นครพนม   และจ.มุกดาหาร  ทั้งประเภทบรรทุกหิน  และวัสดุก่อสร้าง    ไปต่อไม่ไหว    ผู้ประกอบการจึงได้ทยอยแจ้งจอดหยุดวิ่งรับส่งสินค้าแล้ว 15 คัน  เพื่อลดภาระทั้งค่าต่อทะเบียน  ภาษี  และประกันภัยรถยนต์  เฉลี่ยคันละ 3 – 4 หมื่นบาทต่อปี     อีกทั้งยังมีการแข่งขันธุรกิจภาคขนส่งจากต่างประเทศอีก   ด้วย  

ดังนั้นการแก้ไขปัญหาควรจะแก้ทั้งเรื่องค่าน้ำมัน ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่จะทำให้ต้นทุนเพิ่มหรือลดลงได้  ซึ่งก็ไม่ควรจะเกินลิตรละ 30 บาท  และอยากฝากให้รัฐบาลเร่งหามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ  ทำให้เกิดการจ้างงานในภาคธุรกิจขนส่งมากขึ้น    จึงจะลดผลกระทบที่เกิดกับธุรกิจภาคขนส่งได้    แต่หากราคาน้ำมันยังสูง และไม่มีการจ้างงานภาคธุรกิจขนส่ง   แนวโน้มอาจต้องมีการแจ้งจอดรถบรรทุกเพิ่มขึ้นอีก    โดยเฉพาะรถบรรทุกพ่วงที่วิ่งรับส่งสินค้าข้ามจังหวัด   ซึ่งปัจจุบันนี้ที่ยังพออยู่ได้ก็จะเป็นรถบรรทุกขนส่งสินค้าที่วิ่งระหว่างอำเภอส่วนใหญ่




สุรชัย    พิรักษา / บุรีรัมย์
 

แสดงความคิดเห็น