Recent News/ข่าวล่าสุด

มุกดาหาร -ประชาสัมพันธ์มุกดาหาร เตือนภัยเพจปลอมแอบอ้างชื่อหน่วยงานหลอกรับบริจาค


เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2568 เพจเฟซบุ๊ก “สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดมุกดาหาร” ได้ออกประกาศแจ้งเตือนประชาชน หลังตรวจพบว่ามีมิจฉาชีพสร้างเพจปลอมเลียนแบบหน่วยงานราชการ โดยสวมชื่อใกล้เคียงกันคือ “สัมนักงานประชาสัมพันธ์ จังหวัดมุกดาหาร” พร้อมนำภาพข่าวเหตุไฟไหม้บ้านของนายสำรวย และเด็กหญิงนิตตยา มาใช้ประกอบเพื่อหลอกขอรับบริจาคเงินจากผู้หลงเชื่อโดยเพจทางการของสำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดมุกดาหาร ระบุว่า มิจฉาชีพใช้บัญชีเงินฝากบุคคลธรรมดา ธนาคาร ธกส. เลขที่ 020-2-38131-016 ชื่อบัญชี “สำรวย จอมคำสิงห์” ในการรับโอนเงินจากผู้เสียหาย พร้อมย้ำว่า หน่วยงานราชการไม่มีนโยบายใช้บัญชีบุคคลธรรมดาเปิดรับบริจาคผ่านเพจเฟซบุ๊กเด็ดขาดขณะนี้ได้ขอความร่วมมือให้ประชาชนชาวจังหวัดมุกดาหารและผู้ใช้งานโซเชียลมีเดียทุกคน อย่าหลงเชื่อ อย่าโอนเงิน หากพบเพจหรือโพสต์ต้องสงสัย ให้กดรายงาน (Report) ทันทีเพื่อป้องกันความเสียหาย และสังเกตความต่างของชื่อเพจ เนื่องจากเพจปลอมใช้คำว่า “สัมนักงานประชาสัมพันธ์” แทน “สำนักงานประชาสัมพันธ์”#เตือนภัยออนไลน์ #เพจปลอม #ประชาสัมพันธ์มุกดาหาร #มุกดาหาร #มิจฉาชีพออนไลน์ #อย่าหลงเชื่อ #หลอกลวงออนไลน์ #ไฟไหม้บ้าน #ข่าวมุกดาหาร #ข่าวด่วน #ข่าววันนี้
////ภาพข่าว//เดวิท   โชคชัย ผุ้สื่อข่าวนิวส์24สถานีประชาชนประจำจังหวัดมุกดาหาร รายงาน///สุพจน์บดินทร์ กุ่มประสิทธิ์ บก.ข่าว ออนไลน์77จังหวัด




กาญจนบุรี - ใกล้วานสัปดาห์สะพานข้ามแม่น้ำแควแล้วเจอแบบนี้ขายหน้าแย่!! เพจดัง โพสต์แฉ หัวจักรไอน้ำ หน้าตาคนเมืองกาญจน์ ไร้การดูแลสุดทรุดโทรม แนะทำนุบำรุง เพื่อประโยชน์ทางการศึกษา


วันนี้ 20 พ.ย.68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เพจ“Thai Burma railway ทางรถไฟสายมรณะ” โพสเฟสต์บุ๊กเมื่อวันที่ 19 พ.ย.ที่ผ่านมา ระบุว่า“วันนี้ผมมีโอกาสมาเดินสำรวจร่องรอยประวัติศาสตร์คู่เมืองกาญจนบุรี หลักฐานแสดงถึงประวัติศาสตร์อันสำคัญแห่งหนึ่งที่เคยบอกเล่าเรื่องราวในอดีตที่ผ่านมาและเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของเมืองนี้ เป็นหน้าเป็นตา เป็นแหล่งรายได้ให้กับเมืองหากรถจักรเหล่านี้มีชีวิตหรือบอกเล่าอะไรได้ คงอยากให้ดูแลปรับปรุงให้สมกับที่เป็นหนึ่งในแลนด์มาร์คที่สำคัญคู่บ้านเมือง สำคัญคือมันพูดไม่ได้ พวกเราในฐานะเป็นปากเป็นเสียง เป็นตัวแทนที่รักและสนใจในเรื่องราวทางประวัติศาสตร์อันทรงคุณค่าเหล่านี้ อยากขอให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องช่วยรักษา ทำนุบำรุงเพื่อประโยชน์ทางการศึกษา เพื่อเป็นหน้าเป็นตาให้สมกับที่เป็นแลนด์มาร์คคู่เมืองกาญ วันนี้ผมมีโอกาสได้เจอกับกลุ่มน้องนักเรียนที่มาทัศนศึกษา เด็กๆเองยังพูดเป็นเสียงเดียวกันหลังอ่านข้อความที่เขียนด้วยชอล์กหลังรถจักรC56 ใจความว่า "ช่วยดูกันด้วยรถไฟโดนขโมยกันจนหมดแล้ว ชิ้นส่วนรถไฟ 3 คัน" นี่เป็นหนึ่งสิ่งที่เป็นเครื่องยืนยันว่า รถจักรพวกนี้ไม่เคยได้รับการดูแลเอาใจใส่เท่าที่ควร จนชาวบ้านต้องมาเขียนข้อความไว้ ถึงเวลาาแล้วหรือยังที่รถจักรเหล่านี้ จะได้กลับมาทำหน้าที่เสมือนตัวแทนของชาวเมืองกาญอย่างภาคภูมิ เป็นหน้าเป็นตา เป็นชื่อเสียงของเมือง ของประเทศ”หลังจากรูปภาพที่นำมาประกอบพร้อมข้อความข้างต้นเผยพี่ออกไป มีผู้เข้าไปแสดงความคิดเห็นไปในทิศทางเดียวกัน เช่น...เจ้าของเฟสชื่อ ไพศาล ทรัพย์เจริญ แสดงความคิดเห็นว่า...ที่หลังสถานีรถไฟก็เหมือนกัน ปล่อยปละละเลยขาดการดูแลทำนุบำรุง บริเวณสวนหย่อมรอบ ๆ รกรุงรังสกปรกไม่สมกับเป็นสถานที่และทรัพย์สินที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์เลย....เจ้าของเฟสชื่อ Rukphol MeeDonatt Saranark บอกว่า...เอาตรงๆนะ ถ้าเทศบาลเมืองกาญจนบุรี หรือ อบจ. กาญจนบุรี ดูแลไม่ได้ก็ยกคืนให้การรถไฟฯ เค้าเถอะ!!!ในบรรดารถจักร รถพ่วงที่ตั้งแสดงทั่วไทย อยากจะบอกว่า รถที่กาญจนบุรีมีมากถึง 7 คัน แต่ดูแลได้ห่วยทุกคัน!!!!Type100 / 719 / 804 ที่สะพานข้ามแม่น้ำแคว โทรมทุกคัน 702 ที่น้ำตกไทรโยคน้อย เหมือนห้องสุขา เดินผ่านทีเหม็นฉี่มากกก 457 Garrett คันเดียวที่เหลืออยู่
คันนี้สภาพดูดีสุด แต่ก็ยังผุ สีซีด น่าจะเพราะใกล้สถานีรถไฟ แต่ตรงนั้นเหมือนที่ทิ้งขยะ E Class ใน พพ.สงครามที่เจ๊งไปแล้ว สนิมทั้งคัน MK12 ที่โฮมพุเตย สนิมทั้งคันเช่นกัน...ส่วนคุณ ชัย แย้มสายหยุด ระบุว่า...ใกล้จะมีงานสัปดาห์แม่น้ำแควแล้ว สภาพก็ยังเหมือนเดิม มีแต่จะผุกร่อนลงไปทุกวัน ไม่เคยได้รับการเหลียวแล ดูแลรักษาเลย น่าเสียดายจริงๆ ถ้ามันจะสิ้นสภาพไป ผมเพิ่งไปเที่ยวชมมาเมื่อ 2 เดือนก่อน ยังนึกในใจเลยว่า ไม่ได้ดูแลกันเลยปล่อยจนโทรม…เจ้าของเฟสชื่อ Preeti Thammachat แสดงความคิดเห็นว่า...รถไฟไทย คือหน่วยงานที่เกียร์ว่างที่สุดในระบบ (แย่กว่ามหาดไทยอีก) ที่อื่นเป็นแบบไหนไม่รู้แต่กาญจนบุรีที่มีแลนมาร์คสำคัญของทางรถไฟ กลับโคตรห่วย , ถนนขยายรอจนใช้งาน แต่รถไฟไม่ยอมขยับไม้กั้นให้ , สถานีกาญจนบุรี(ดอนรัก) ก็ไม่ปรับปรุงให้ดี ยิ่งสถานีสะพานข้ามแม่น้ำแควยิ่งแย่….และ พ.ต.ท.ภูมิพัฒน์ ชัยจันทร์ บอกว่า...ผมเคยไปไลฟ์สดให้ดูแลแต่ทั้งการรถไฟหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ไม่เปลี่ยนแปลงมีแต่ปล่อยให้ทรุดโทรม และทรุดโทรมทั้งสถานี บางที่เป็นแหล่งมั่วสุมคนไหลบ้าน เป็นสถายที่ท่องเที่ยวที่ไม่มีความปลอดภัย ตรงจุดที่ตั้งแสดงรถไฟ เสียดายงบประมาณ เพราะขาดการเหลียวแลมาหลายปี…และ #เหลือเพียงหนึ่งเดียว #หัวรถจักรไอน้ำการัตต์ หมายเลข 457 หัวรถจักรที่ใหญ่ที่สุด ที่เหลือเพียง 1 เดียวของประเทศไทย ตั้งโชว์อยู่หน้าสวนธารณะสถานีรถไฟกาญจนบุรีมา 30 กว่าปี อายุร่วม 100 ปี (ประจำการปี 2479) หลายคนเห็นยูทูปเปอร์มารีวิวแล้วบ่นว่าน่าเสียดายที่อยู่ผิดที่ ควรจะนำไปตั้งโชว์ที่พิพิธภัณฑ์รถไฟที่สถานีหัวลำโพง เพราะหาไม่ได้อีกแล้วครับ...เป็นต้น 
//////ข่าวภูมิภาค / ปรีชา  ไหลวารินทร์ ผู้สื่อข่าวนิวส์24สถานีประชาชนประจำจังหวัดกาญจนบุรี////สุพจน์บดินทร์ กุ่มประสิทธิ์ บก.ข่าวออนไลน์ 77จังหวัด

พสกนิกรชาวจังหวัดนครปฐม กว่า 750 คน ออกเดินทางเข้าเฝ้าฯ กราบถวายบังคมพระบรมศพ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท กรุงเทพฯ


 วันที่ 21 พฤศจิกายน 2568 เวลา 05.00 น. ที่ บริเวณพุทธมณฑล อำเภอพุทธมณฑล  นางสาวอโรชา นันทมนตรี ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม พร้อมด้วย รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม นำคณะผู้บริหารระดับสูงในจังหวัดนครปฐม หัวหน้าส่วนราชการ นายอำเภอ และพสกนิกรชาวจังหวัดนครปฐม ขึ้นรถบัส จำนวน 19 คัน รวม 750 คน เดินทางไปเข้าเฝ้าฯ กราบถวายบังคมพระบรมศพ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในการนี้ รถโดยสารทุกคัน ได้จัดเตรียมเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง  ตำรวจ เจ้าหน้าที่สาธารณสุข ประจำรถ เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางดังกล่าว โดยมีการตรวจเช็ครถโดยสาร ให้คำแนะนำการปฏิบัติกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน เช่น การเปิดประตูทางออกฉุกเฉิน การใช้ถังดับเพลิง การคาดเข็มขัดนิรภัย เป็นต้น ซึ่งรถทุกคันไม่สามารถใช้ความเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดได้ เพราะมีระบบจีพีเอสตรวจจับความเร็วตลอดเวลาที่รถวิ่ง สำหรับจังหวัดนครปฐม ได้กำหนดแผนการเดินทางเพื่อเข้าเฝ้าฯ กราบถวายบังคมพระบรมศพ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท กรุงเทพมหานคร เป็นจำนวน 4 วัน รวมจำนวนทั้งสิ้น 3,000 คน โดยกำหนดในวันที่ 21 พฤศจิกายน 2568 วันที่ 10 ธันวาคม 2568 วันที่ 29 ธันวาคม 2568 และวันที่ 17 มกราคม 2569 ในการนี้ นายนรวีร์ ขันธหิรัญ นายอำเภอกำแพงแสน พร้อมด้วย ปลัดอำเภอกำแพงแสน สมาชิก อส. องค์การบริหารส่วนตำบลกระตีบ เทศบาลตำบลกระตีบ องค์การบริหารส่วนตำบลห้วยหมอนทอง ได้นำประชาชน รวม 120 คน เข้าเฝ้าฯ กราบถวายบังคมพระบรมศพ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท
//ภาพข่าว///น.ส.  ลาวัลย์  แสงสว่าง ผู้สื่อข่าว///สมคิด///ผู้สื่อข่าวนิวส์24สถานีประชาชนประจำจังหวัดนครปฐม///สุพจน์บดินทร์ กุ่มประสิทธิ์ บก.ข่าวออนไลน์ 77จังหวัด













ตำรวจท่องเที่ยวเกาะพะงัน ปลุกมาจับเครือข่ายนายซีตูอังกวาดล้างยกแก๊งพึ่งพ้นโทษมา 2 เดือน หวนกลับค้ายาต่อ ไม่สำนึก ยึดของกลางอื้อ

วันที่ 21 พ.ย.68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตามนโยบายของ พล.ต.ท.ศักย์ศิรา เผือกอ่ำ ผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว (ผบช.ทท.)ได้สั่งการให้สถานีตำรวจท่องเที่ยวทุกแห่งกวดขันพฤติกรรมของชาวต่างด้าวในพื้นที่ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวในช่วงฤดูท่องเที่ยว (ไฮซีซั่น) อย่างเข้มงวดภายใต้การนำของ พ.ต.ท.วินิจ บุญชิต สารวัตรตำรวจท่องเที่ยว 5 กองกำกับการ 2 กองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว 3 (สว.ทท.5 กก.2 บก.ทท.3)พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจ ส.ทท.5 กก.2 บก.ทท.3 ได้บูรณาการกำลังร่วมกับตำรวจตรวจคนเข้าเมืองเกาะพะงัน เข้าทำการจับกุมผู้ต้องหาชาวเมียนมาร์รวม 6 ราย ในพื้นที่อำเภอเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยมีทั้งข้อหาที่เกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติด การเสพยาเสพติด และการเข้าเมืองโดยไม่ได้รับอนุญาตเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2568 เวลา 14:00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุมนายฮนิน เทียน (Mr.Hnin Thein) อายุ 27 ปี สัญชาติเมียนมาร์ พร้อมของกลางยาบ้า 2 เม็ด ซึ่งให้การซัดทอดว่าซื้อมาจาก นายซีตู อัง (Mr.Sithu Aung)** อายุ 23 ปี สัญชาติเมียนมาร์ จากนั้น เจ้าหน้าที่ได้วางแผนล่อซื้อยาเสพติดจากนายซีตู อัง ในเวลา 20:00 น. บริเวณหน้าห้างโลตัส แต่นายซีตู อัง ไหวตัวทันและขับรถจักรยานยนต์บิ๊กไบค์หลบหนีไปได้ต่อมาในวันที่ 20 พฤศจิกายน 2568 เวลา 15:00 น. เจ้าหน้าที่ได้ประสานนายกเทศบาลเกาะพะงันเพื่อขอตรวจสอบกล้องวงจรปิดในพื้นที่ จนทราบที่พักของนายซีตู อัง คือ Bantai Resort หมู่ 1 ตำบลบ้านใต้ อำเภอเกาะพะงัน และเมื่อเข้าตรวจสอบที่บ้านพักดังกล่าว พบรถจักรยานยนต์บิ๊กไบค์ตรงตามที่ใช้ในการส่งยาเสพติด เจ้าหน้าที่จึงเข้าตรวจสอบภายในบ้านพัก พบ นายซีตู อัง กำลังนอน
หลับอยู่หน้าบ้าน และภายในบ้านพบผู้ต้องหาอีก 3 ราย ได้แก่ นายมิน โซ อู (Mr.Min Soe Oo) อายุ 26 ปี, นางสาวเละ เละ เวย (Ms.Latt Latt Wai)อายุ 23 ปี และ นายจอ มิน ตู (Mr.Kyaw Min Thu)อายุ 19 ปี กำลังนั่งเสพยาเสพติดและบรรจุยาบ้าลงในถุง เมื่อเห็นเจ้าหน้าที่ทั้งหมดแสดงท่าทีตกใจและพยายามซ่อนยาเสพติดและหลบหนีจากการตรวจค้น เจ้าหน้าที่พบของกลางรวม ยาบ้า 116 เม็ด และ ยาไอซ์ 0.22 กรัม ซุกซ่อนอยู่ในกระเป๋าสะพายข้างสีดำผู้ต้องหาทั้ง 4 ราย ให้การยอมรับสารภาพว่ายาเสพติดดังกล่าวเป็นของพวกตนจริง โดยสั่งซื้อมาจากชายชาวเมียนมาร์ที่เกาะสมุยในราคามัดละ 3,000 บาท (ครั้งละ 100 เม็ด) และมีการแบ่งหน้าที่กันอย่างชัดเจน นายซีตู อัง มีหน้าที่ติดต่อลูกค้าชาวเมียนมาร์และชาวไทย รวมถึงขับรถไปส่งยาเสพติดตามจุดนัดรับ  นายมิน โซ อู และ นายจอ มิน ตู มีหน้าที่บรรจุยาบ้าลงในถุงพลาสติกใสนางสาวเละ เละ เวย มีหน้าที่ในการเก็บและรวบรวมเงินจากการค้าขายยาเสพติด ทั้งนี้ ผู้ต้องหากลุ่มนี้จำหน่ายยาบ้าในราคาเม็ดละ 100 บาท ให้กับประชาชนทั้งชาวไทยและชาวเมียนมาร์ในพื้นที่สำหรับ นายซีตู อัง ถูกเจ้าตำรวจท่องเที่ยวชุดนี้จับมาแล้วเมื่อปี 66 พึ่งพ้นโทษ ออกมาได้ 2 เดือนก็กลับไปค้ายาในวันเดียวกัน เวลา 19:00 น. วันที่ เจ้าหน้าที่ตำรวจท่องเที่ยวเกาะพะงันยังได้ออกตรวจพื้นที่บริเวณหน้าห้างบิ๊กซี และพบชายชาวเมียนมาร์ 2 คน
เดินเตร็ดเตร่อยู่ริมถนน เมื่อเห็นรถสายตรวจได้วิ่งหลบหนี เจ้าหน้าที่จึงไล่ติดตามจนสามารถควบคุมตัวไว้ได้ คือ นายเกา เมียต จอ (Mr.Kaung Myat Kyaw)อายุ 26 ปี และ นายเมียว เท็ท อาว (Mr.Myo Htet Aung) อายุ 24 ปีทั้งสองคนรับสารภาพว่าเพิ่งเสพยาบ้ามาเมื่อเช้าและกลัวถูกจับกุมเจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อหากับผู้ต้องหาทั้งหมด 6 ราย และนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.เกาะพะงัน เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป แจ้งข้อหาผู้ต้องหาคนที่ 1-4"ร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้าและยาไอซ์) โดยมีไว้เพื่อจำหน่าย โดยไม่ได้รับอนุญาต อันเป็นการกระทำเพื่อการค้าและก่อให้เกิดการแพร่กระจายให้กลุ่มประชาชน" และแจ้งข้อหาผู้ต้องหาคนที่ 1, 4, 5, 6 "เป็นบุคคลต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต" (เฉพาะบางราย) ส่วนผู้ต้องหาคนที่ 3, 4, 5, 6 "เสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน) โดยผิดกฎหมาย"การกวาดล้างในครั้งนี้ถือเป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นของตำรวจท่องเที่ยวในการกวดขันพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของชาวต่างด้าว และป้องกันอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยและสร้างความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยวที่มาเยือนเกาะพะงันในช่วงเทศกาลสำคัญ
////ภาพข่าว//นายปรีชา สถิตเรืองศักดิ์ / หาดใหญ่ ผู้สื่อข่าวนิวส์24สถานีประชาชนประจำจังหวัดสงขลา///สุพจน์บดินทร์ กุ่มประสิทธิ์ บก.ข่าวออนไลน์ 77จังหวัด





ไล่ล่าข้ามจังหวัด จากมุกดาหารสู่มหาสารคาม! สกัดจับแก๊งขนยาบ้า 6 แสนเม็ด ปิดเกมที่แก่งเลิงจาน

เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2568 ชุดปฏิบัติการข่าว สำนักการข่าว กอ.รมน. ชุดที่ 18 ได้บูรณาการร่วมกับ ชุด ชปข.บก.ตชด.ภาค 2, ชปพ.ศอ.ปส.ทร (นสร.กร.), นปส.ขกท.กกล.สุรศักดิ์มนตรี, ชรต 201 กอ.รมน.ภาค 2 (ก.ส.), กก.3 บช.ปส.2, สำนักปราบปราม ป.ป.ส., ศวข.อุดรธานี (บช.ปส.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เปิดปฏิบัติการไล่ล่ากลุ่มขบวนการลักลอบลำเลียงยาเสพติดในพื้นที่ จ.มุกดาหาร ต่อเนื่อง กาฬสินธุ์ - มหาสารคามหลังรับแจ้ง เจ้าหน้าที่ได้เริ่มปฏิบัติการ ติดตามรถต้องสงสัยจาก จ.มุกดาหาร ก่อนประสานกำลังหลายหน่วย เพื่อติดตามเส้นทางหลบหนี โดยปฏิบัติการไล่ล่าข้ามจังหวัดเริ่มตั้งแต่ จ.มุกดาหาร ผ่านเข้าสู่พื้นที่ ต.บึงวิชัย อ.เมืองกาฬสินธุ์ ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะเร่งปิดเส้นทางมุ่งหน้าไปยังสี่แยกไฟแดงแก่งเลิงจาน ต.แก่งเลิงจาน อ.เมือง จ.มหาสารคาม ต่อเนื่องถึงบ้านหัวช้างสว่าง หมู่ 11 ต.กุดรัง อ.กุดรัง จ.มหาสารคาม ซึ่งเป็นจุดปิดล้อมสุดท้าย สามารถสกัดจับผู้ต้องหาได้ 2 ราย คือ นายวุฒิ อายุ 30 ปี ชาว ต.นาดี อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ และนายพีรชัย อายุ 22 ปี ชาว ต.หัวนาคำ อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ พร้อมของกลาง ยาบ้า 600,000 เม็ด รถกระบะโตโยต้า รีโว่ สีเทา ทะเบียน บล 6997 กาฬสินธุ์ รถยนต์ฮอนด้า ซีวิค สีดำ ทะเบียน กบ 1523 กาฬสินธุ์โทรศัพท์มือถือ 2 เครื่องเบื้องต้นเจ้าหน้าที่นำผู้ต้องหาและของกลางทั้งหมดส่ง บก.ตชด.ภาค 2 เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
//ภาพข่าว//เดวิท โชคชัย ผู้สื่อข่าวนิวส์ 234สถานีประชาชนประจำจังหวัดมุกดาหาร รายงาน///สุพจน์บดินทร์ กุ่มประสิทธิ์ บก.ข่าวออนไลน์ 77จังหวัด

กาญจนบุรี - ความดี ไม่มีขายใครอยากได้ต้องทำเอง!! คนของมหาดไทย ต้องอย่างนี้เข้าใจเข้าถึงพึ่งได้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นาย ชวโรจน์  มากแก้ว นายอำเภอบ่อพลอย เป็นประธานใน พิธีบำเพ็ญกุศล อุทิศถวายสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ณ วัดหนองรี หมู่ที่ 2 ตำบลหนองรี อำเภอบ่อพลอย จังหวัดกาญจนบุรี โดยมีส่วนราชการ ในพื้นที่ประกอบด้วยเทศบาลตำบลหนองรี โรงเรียนหนองรีประชานิมิต โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพบ้านลำอีซู องค์การบริหารส่วนตำบลหนองรี สถานีตำรวจภูธรหนองรี กำนันผู้ใหญ่บ้าน และประชาชนตำบลหนองรี พร้อมใจกันร่วมบำเพ็ญกุศลสวดพระอภิธรรมอุทิศถวายสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถพระบรมราชชนนีพันปีหลวง  อย่างพร้อมเพรียง เพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้น หาที่สุดมิได้ ธ สถิตอยู่ในดวงใจไทย ตราบนิจนิรันดร์ต่อจากนั้นนายอำเภอบ่อพลอย พร้อมด้วย สมาชิกกองอาสารักษาดินแดนอำเภอบ่อพลอยที่ 11 และผู้ใหญ่บ้านท้องที่หมู่ที่ 2 บ้านหนองรี ตำบลหนองรี อำเภอบ่อพลอย เดินตามรอยเท้าพ่อ เยี่ยมเยียนพี่น้องประชาชน
กลุ่มเปราะบาง จำนวน 3 ครัวเรือน ซึ่งเป็นครัวเรือนผู้สูงอายุ ที่อยู่อาศัยไม่มั่นคง , ครัวเรือนคนพิการ ซึ่งมีผู้สูงอายุคอยดูแล, และครัวเรือนผู้สูงอายุที่สุขภาพไม่แข็งแรงขาดคนดูแล  จากการเยี่ยมเยียนพบว่าทั้ง3ครอบครัวมีสุขภาพกายใจที่ดี ยังสู้อยู่สามารถดำรงชีวิตต่อไปได้อย่างมีความสุขตามอัตภาพ โดยทางผู้ใหญ่บ้าน อสม. รพ.สต. และเทศบาลได้เข้ามาดูแลอย่างต่อเนื่องและก่อนเดินทางกลับได้แวะมาตรวจเยี่ยมชุด ปฏิบัติการของ อำเภอ บ่อพลอย อีกหนึ่งชุดส่วนที่สนธิกำลังกับเจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจภูธรบ่อพลอย ตั้งจุดตรวจ จุดสกัด เพื่อป้องกันอาชญากรรมและการก่อเหตุเพื่อสร้างความมั่นใจให้ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน 24 ชั่วโมงต้องขอชื่นชม...อำเภอบ่อพลอย คนนี้ที่ได้ตั้งใจในการปฏิบัติหน้าที่ สมเป็นนักปกครอง ที่ต้องมีจิตวิญญาณทุกลมหายใจ คนคนนี้เข้าใจเข้าถึงพึ่งได้ จะบำบัดทุกข์บำรุงสุขแก่พี่น้องประชาชน 365 วัน และดูแลความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สินของ พี่น้องประชาชน 24 ชั่วโมง ดังที่เจ้าตัวได้พูดอยู่ตลอด และเมื่อเขาได้นั่งอยู่ตรงจุดนี้เขาได้ทำมาตลอดให้เห็น เป็นที่ประจัก ข้าราชการมหาดไทย เช่นนี้ต้องมีมากๆ มีอยู่ที่ไหนประชาชน ก็อุ่นใจ และจะต้องสรรเสริญตลอดไป
////////ข่าวภูมิภาค ปรีชา  ไหลวารินทร์ ผู้สื่อข่าวนิวส์24สถานีประชาชนประจำจังหวัดกาญจนบุรี////สุพจน์ บดินทร์ กุ่มประสิทธิ์ บก.ข่าวออนไลน์ 77จังหวัด

ร้อยเอ็ด-รมว.อุตสาหกรรม ลุยร้อยเอ็ด มอบหมาย SME D Bank ลุยมหกรรม “ฝ่าฟัน ดัน SMEs สู่แหล่งทุน” เปิดเวทีแรกที่ร้อยเอ็ด ชูบริการ “3 เติม” เสริมแกร่งเอสเอ็มอีครบวงจร

วันนี้ (20 พฤศจิกายน 2568) เวลา 14.00 น. นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดโครงการ “ฝ่าฟัน ดัน SMEs สู่แหล่งทุน” เวทีแรกของประเทศ ณ โรงแรมไฮเพลส อำเภอเมืองร้อยเอ็ด จังหวัดร้อยเอ็ด โดยย้ำบทบาทสำคัญของเอสเอ็มอีไทย พร้อมชูบริการ “3 เติม” เสริมความเข้มแข็งธุรกิจแบบครบวงจรกระทรวงอุตสาหกรรมมอบหมายให้ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank เดินหน้านโยบาย “ฝ่า–ฟัน–ดึง–ดัน” สนับสนุนผู้ประกอบการในภูมิภาค ผ่านงานมหกรรมเชิงรุก “ฝ่าฟัน ดัน SMEs สู่แหล่งทุน” โดยจังหวัดร้อยเอ็ดเป็นพื้นที่นำร่อง นำผู้ประกอบการเข้าถึงบริการทางการเงิน การพัฒนาศักยภาพธุรกิจ และมาตรการแก้หนี้ที่ยั่งยืนนายธนกร กล่าวว่า ท่ามกลางความผันผวนทางเศรษฐกิจ รัฐบาลให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อการยกระดับเอสเอ็มอี ซึ่งเป็นกลไกลสำคัญของระบบเศรษฐกิจประเทศ พร้อมผลักดันหน่วยงานในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรมขับเคลื่อนนโยบาย “ฝ่า–ฟัน–ดึง–ดัน” ให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม สอดคล้องกับแนวทาง “Quick Big Win” ของรัฐบาลด้านนายพิชิต มิทราวงศ์ กรรมการผู้จัดการ SME D Bank เปิดเผยว่า หลังจากขยาย “ศูนย์ฝ่าฟัน ดัน SMEs” ครอบคลุม 96 สาขาทั่วประเทศ ธนาคารได้จัดมหกรรมรูปแบบออนไซต์รวม 4 ครั้งใน 4 จังหวัด ช่วงเดือนพฤศจิกายน–ธันวาคม 2568 โดยร้อยเอ็ดเป็นจังหวัดแรก เพื่อให้ผู้ประกอบการเข้าถึงบริการอย่างใกล้ชิดและสะดวกที่สุดภายในงาน
ประกอบด้วยกิจกรรม “3 เติม” ได้แก่เติมทุน: สินเชื่อดอกเบี้ยพิเศษ 3% คงที่ 3 ปี ผ่อนนาน 10 ปี วงเงินสูงสุด 15 ล้านบาท ยื่นกู้ได้ทันทีภายในงานเติมความรู้: อบรมเพิ่มทักษะ (Upskill–Reskill) ทั้งการตลาดออนไลน์ เทคนิคคอนเทนต์ ไลฟ์ขายสินค้า และการใช้ระบบ DX by SME D Bankเติมโอกาส: มาตรการ “3 ลด ปลดหนี้” ได้แก่ ลดค่างวด ลดเงินต้น และลดดอกเบี้ยค้างชำระ เพื่อฟื้นฟูกิจการอย่างยั่งยืนภายในงานยังมีการมอบป้ายอนุมัติสินเชื่อแก่ผู้ประกอบการ พร้อมบูธให้คำปรึกษาธุรกิจจากหน่วยงานพันธมิตร เช่น สสว., สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด, พาณิชย์จังหวัด และเครดิตบูโร รวมถึงโซนจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากเอสเอ็มอีในพื้นที่และจังหวัดใกล้เคียงผู้ประกอบการสามารถติดต่อ SME D Bank ทุกสาขาทั่วประเทศ LINE OA: SME Development Bank เว็บไซต์ และ Call Center 1357 เพื่อรับบริการและการสนับสนุนเพิ่มเติม

/
/////คมกฤช พวงศรีเคน ข่าว/ภาพ ผุ้สื่อข่าวนิวส์24สถานีประชาชนประจำจังหวัดร้อยเอ็ด////สุพจน์บดินทร์ กุ่มประสิทธิ์ บก.ข่าวออนไลน์ 77จังหวัด