Top News/ข่าวยอดนิยม

Recent News/ข่าวล่าสุด

นครปฐม ตำรวจภูธรบางเลน รวบ วุฒิ วังเย็น กลุ่มค้ายารายสำคัญในพื้นที่นครปฐม พร้อมของกลาง ยาบ้า ไอซ์ อาวุธปืน คาด่านตรวจ

  วันนี้ 23 ธันวาคม 2568 ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ต.พิทักษ์ อุปพงษ์ ผบก.ภ.จว.นครปฐม พ.ต.อ.อภิศักดิ์ กำเนิด ผกก.สภ.บางเลน พ.ต.ท.อุทัย สุมาลัย รอง ผกก.ป.สภ.บางเลน พ.ต.ท.รวิพงศ์ เลิศพันธ์ สวป.สภ.บางเลนพร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บางเลน ได้ร่วมกันจับกุมตัว นายสราวุฒิ ยางเยี่ยม อายุ 30 ปี อยู่บ้านเลขที่ 118/6 ม.6 ต.วังเย็น อ.เมืองกาญจนบุรี จว.กาญจนบุรี และ น.ส.สุดารัตน์ สร้อยอุดม อายุ 24 ปี อยู่บ้านเลขที่ 41/1 ม.12 ต.ระแหง อ.ลาดหลุมแก้ว จว.ปทุมธานี พร้อมด้วยของกลางยาบ้าจำนวน 782 เม็ด ไอซ์ น้ำหนัก 0.4 กรัม ถุงแบ่ง ขนาดถุง 5*7 ซม.จำนวน  34  ใบ ถุงแบ่ง ขนาดถุง 3*5 ซม.จำนวน  48  ใบเครื่องชั่ง แบบดิจิตอล จำนวน 1 เครื่อง รถยนต์เก๋ง ยี่ห้อ โตโยต้า รุ่น โคโรน่า สีน้ำตาล หมายเลขทะเบียน กต 6394 สุพรรณบุรี อาวุธปืนยาวอัดลม ไทยประดิษฐ์ ไม่มีหมายเลขทะเบียนปืน จำนวน  1  กระบอก โทรศัพท์มือถือจำนวน  2 เครื่อง
พล.ต.ต.พิทักษ์ อุปพงษ์ ผบก.ภ.จว.นครปฐม เปิดเผยว่าเมื่อวันนี้ 23 ธันวาคม 2568 เวลาประมาณ 00.10 น.ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บางเลน ได้ตั้งจุดตรวจที่บริเวณริมถนนสาธารณะหน้าโลตัสสาขาบางเลน ม.6 ต.บางเลน อ.บางเลน จว.นครปฐม ขณะที่ตั้งจุดตรวจยานพหนะพบรถยนต์เก๋ง ยี่ห้อ โตโยต้า รุ่น โคโรน่า สีน้ำตาล หมายเลขทะเบียน กต 6394 สุพรรณบุรี ขับเข้ามาถึงที่บริเวณจุดตรวจ ทางเจ้าหน้าที่พบลักษณะมีพิรุธต้องสงสัย ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ส่งสัญญาณมือเรียกให้ชิดขอบทางด้านขวา พร้อมแสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อขอทำการตรวจค้น พบนายสราวุฒิ ยางเยี่ยม เป็นผู้ขับขี่รถยนต์คันดังกล่าว เมื่อพบเจ้าหน้าที่ตำรวจได้แสดงอาการมีพิรุธ ลุกลี้ลุกลนทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงขอทำการตรวจค้นภายในรถยนต์คันดังกล่าว

จากการตรวจค้นของทางเจ้าหน้าที่พบของกลาง อาวุธปืนยาวอัดลม ไทยประดิษฐ์ ไม่มีหมายเลขทะเบียนปืนจำนวน 1 กระบอกที่บริเวณด้านหลังเบาะภายในรถยนต์ และยังพบยาบ้าบรรจุอยู่ในถุงพลาสติกแบบกดปิดดึงเปิดสีใส แบบแบ่งจำหน่ายหลายถุง จำนวน 2 เม็ด จำนวน 40 เม็ด จำนวน 65 เม็ด จำนวน 200 เม็ด จำนวน 199 เม็ด จำนวน 198 เม็ด จำนวน 78 เม็ด รวมยาบ้าทั้งหมด จำนวน  782  เม็ด และ ยาไอซ์ จำนวน 2 ถุงบรรจุอยู่ในถุงพลาสติกแบบกดปิดดึงเปิด สีใส ขนาดถุง 5*7 ซม.น้ำหนักรวมภาชนะบรรจุ 0.7 กรัม ,น้ำหนักรวมภาชนะบรรจุ 0.6 กรัม ซุกซ่อนอยู่ในกล่องกระดาษ ซุกซ่อนอยู่บริเวณท้ายรถใต้พรมของรถยนต์คันดังกล่าว ทางเจ้าหน้าที่ยังตรวจพบ และยังจึงได้ทำการตรวจยึดของกลางทั้งหมดไว้เป็นหลักฐาน

พล.ต.ต.พิทักษ์ อุปพงษ์ ผบก.ภ.จว.นครปฐม เปิดเผยอีกว่า จากการสอบสวน นายสราวุฒิได้ให้การยอมรับสารภาพว่าของกลางดังกล่าวข้างต้นที่ทางเจ้าหน้าที่ตรวจค้นเจอเป็นของตนจริง โดยยาบ้าของกลางดังกล่าวตนได้ซื้อมาจากเพื่อนชื่อนายบัง สัญชาติไทย ( ไม่ทราบชื่อจริงและที่อยู่ ) จำนวน 5 ถุง เป็นจำนวนเงิน 7,000 บาทและตนได้เสพยาบ้ามาเมื่อวันที่ 22 ธ.ค.68 ช่วงเย็นที่ผ่านมาจำนวน 2 เม็ดและได้นำมาเสพที่ภายในรถยนต์ขณะที่จอดข้างทาง ในเขตพื้นที่ จว.พระนครศรีอยุธยา ตนเสพโดยวิธีลนไฟแล้วสูดควันเข้าสู่ร่างกาย

ภายหลังจากการตรวจค้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตรวจสอบประวัติบุคคลของนายสราวุฒิพบว่ามีหมายจับ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้แสดงหมายจับอิเล็กทรอนิกส์ ให้นายสราวุฒิดูซึ่งเป็นบุคคลตามหมายจับของบุคคลตามหมายจับศาล(หมายนอก)ที่ 1/2563 ข้อกล่าวหาว่า“ มียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน) ไว้ในครอบครอง (จำเลยไม่มาศาลมีพฤติการณ์หลบหนี) ” มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 3 มกราคม 2563 ตามข้อกล่าวหาข้างต้น เจ้าหน้าที่จึงได้อ่านให้ฟังและให้นายสราวุฒิ ฯ อ่านด้วยตนเองแล้วนายสราวุฒิ ฯ ยอมรับว่าตนเป็นบุคคลตามหมายจับนี้จริง และยืนยันว่าไม่เคยถูกจับตามหมายจับนี้มาก่อน จึงได้ให้นายสราวุฒิ ลงลายมือชื่อในหมายจับ

จากการสอบสวนน.ส.สุดารัตน์ ได้ให้การยอมรับว่ายาเสพติดของกลางที่ทางเจ้าหน้าที่ตรวจค้นพบภายในรถยนต์คันดังกล่าวซึ่งตนซื้อไว้ใช้ร่วมกันกับนายสราวุฒิ โดยจากการตรวจสอบโทรศัพท์มือถือของน.ส.สุดารัตน์ทางเจ้าหน้าที่พบว่ามีการติดต่อทางแชท Messenger ในการติดต่อซื้อขายยาเสพติดอยู่เป็นประจำ

สามารถจับกุมได้ที่บริเวณริมถนนสาธารณะหน้าโลตัส สาขาบางเลน ม.6 ต.บางเลน อ.บางเลน จว.นครปฐม

โดยกล่าวหา ผู้ต้องหาที่ 1 และ 2 ว่า “ร่วมกันจำหน่ายซึ่งยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) โดยมีไว้เพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต อันเป็นการกระทำเพื่อการค้า และก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน ” และแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติม ผู้ต้องหาที่ 1 ว่า ” เสพยาเสพติดให้โทษประเภท ๑ ( ยาบ้า ) โดยผิดกฎหมาย เป็นผู้ขับขี่เสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1 ( ยาบ้า ) โดยผิดกฎหมาย , เป็นบุคคลตามหมายจับศาล (หมายนอก) ที่ 1/2563 “ มียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน) ไว้ในครอบครอง (จำเลยไม่มาศาลมีพฤติการณ์หลบหนี)” มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 3 มกราคม 2563

ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรบางเลน ดำเนินคดีตามกฏหมายต่อไป


  นายปนิทัศน์ มามีสุข   น.ส.ปณิดา มามีสุข  น.ส.เปมิกา มามีสุข  จ.นครปฐม 0925462794
 

กาฬสินธุ์ แถลงข่าวเตรียมจัดงานใหญ่งานดอกไม้บานกลางแสงไฟส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่

 วันที่ 22 ธันวาคม 2568 เวลา 18.00น.ณ ลานแถลงข่าวเกาะมหาราช ริมสะพานเทพสุดา ตำบลหนองบัว อ.หนองกุงศรี นายผดุงศักดิ์ อิ่มเอิบ รองผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ เป็นประธานการจัดงานแถลงข่าว"ดอกไม้บานกลางแสงไฟ" พร้อมด้วยนายจารุวัตร ภูแก้ว นายอำเภอหนองกุงศรี และคู่สมรส นายประมวล กระธรรมะ นายกเทศมนตรีตำบลหนองบัว นายโสภณ ถาวร กรรมการผู้จัดการบริษัทชะอุ่ม2021 นายคมกริช ไตรยศ เกษตรจังหวัดกาฬสินธุ์ พ.ต.อ.ธิติ สมศรี ผกก.สภ.หนองกุงศรี นางอารี ปังสี ท้องถิ่นอำเภอ นายสมบูรณ์ นาสาทร ประธานสภาวัฒนธรรม รศ.ดร.สังคมศรีโคตร นายกเทศมนตรีหนองกุงศรี นายสมหมาย อุ่นทะยา นายกเทศมนตรีตำบลคำก้าว นายสุริยนต์ ภูนวนทา ส.อบจ.เขต1 นายสุริยา ภูนวนทา ส.อบจ.เขต2 นายเดชอดุลย์อภัยแสน กต.ตร.สภ.

หนองกุงศรีพร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ พ่อค้าประชาชนและสื่อมวลชนร่วมแถลงข่าวในครั้งนี้

   ซึ่งงานนี้ทางจังหวัดกาฬสินธุ์ ร่วมกับอำเภอหนองกุงศรี เทศบาลตำบลหนองบัว ผู้นำท้องถิ่น ภาคเอกชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แถลงข่าวเตรียมความพร้อมจัดใหญ่ “งานดอกไม้บาน กลางแสงไฟ”  (Kalasin Flowers in the Light) ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ด้วยการท่องเที่ยวเมืองกาฬสินธุ์สู่ความยั่งยืน ที่สวนสาธารณะเกาะมหาราช ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ เที่ยวชมฟรีตลอด 10 วัน 10 คืน ระหว่างวันที่ 31 ธันวาคม 2568 ถึงวันที่ 9 มกราคม 2569 คาดเงินสะพัดในท้องถิ่นกว่า 30 ล้านบาท ที่สวนสาธารณะเกาะมหาราช (บริเวณทางขึ้นสะพานเทพสุดา ข้ามเขื่อนลำปาว) ต.หนองบัว อ.หนองกุงศรี จ.กาฬสินธุ์
นายผดุงศักดิ์ อิ่มเอิบ รองผวจ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่าการจัดงานดอกไม้บานกลางแสงไฟ  (Kalasin Flowers in the Light) กำหนดขึ้นระหว่างวันที่ 31 ธันวาคม 2568 ถึงวันที่ 9 มกราคม 2569  ที่สวนสาธารณะเกาะมหาราช เป็นอีกกิจกรรมหนึ่งของยุทธศาสตร์พัฒนาจังหวัด ที่มีการบูรณาการของหลายภาคส่วน เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ เป็นการสานพลังความร่วมมือขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ด้วยการท่องเที่ยวเมืองกาฬสินธุ์สู่ความยั่งยืน ทั้งในส่วนของการสร้างเกษตรมาตรฐานสูง อาหารปลอดภัย การท่องเที่ยวที่หลากหลาย สู่การเป็นเมืองน่าอยู่ มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน
 นายผดุงศักดิ์กล่าวอีกว่า สำหรับงานกาฬสินธุ์ดอกไม้บานกลางแสงไฟ (Kalasin Flowers in the Light) ถูกสร้างขึ้นเพื่อที่จะพลิกโฉมภูมิทัศน์การท่องเที่ยวของภูมิภาค ซึ่งจะได้สัมผัสกับมหัศจรรย์ดอกไม้และการออกแบบภูมิทัศน์ ชื่นชมความยิ่งใหญ่ของทุ่งดอกไม้นานาพรรณกว่า 100,000 ต้น ที่ถูกรังสรรค์ผ่านการออกแบบภูมิทัศน์ระดับมืออาชีพ ผสานกับเทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างลงตัว ทั้งระบบไฟ LED แสง สี เสียงเต็มรูปแบบ ที่จะเปลี่ยนพื้นที่เกาะมหาราช ให้กลายเป็นดินแดนมหัศจรรย์ สร้างประสบการณ์ท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ในพื้นที่

“โครงการนี้ถูกออกแบบมาเพื่อเป็นเครื่องมือกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากอย่างเป็นรูปธรรม  โดยคาดการณ์ว่าจะสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ไม่น้อยกว่า 165,000 คน สร้างรายได้หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจท้องถิ่นกว่า 30 ล้านบาท และที่สำคัญคือการสร้างโอกาสทางการค้าให้แก่ผู้ประกอบการท้องถิ่น กลุ่ม OTOP วิสาหกิจชุมชน และเกษตรกรในพื้นที่กว่า 100 ราย ให้มีช่องทางจำหน่ายสินค้าโดยตรง ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการสร้างเศรษฐกิจชุมชนที่เข้มแข็ง สร้างความมั่นคงทางรายได้ในระยะยาว และเป็นต้นแบบการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ดำเนินงานภายใต้กรอบการบริหารจัดการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สะท้อนผ่านการดำเนินงานที่เป็นรูปธรรม เช่น การติดตั้งระบบรดน้ำอัตโนมัติเพื่อบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดและการเลือกใช้ไฟประดับแบบ LED เพื่อลดการใช้พลังงาน ตั้งแต่การวางแผน การจัดการขยะไปจนถึงการบำรุงรักษาสถานที่ต่อเนื่องหลังจบงาน เพื่อเปลี่ยนพื้นที่จัดงานชั่วคราวให้กลายเป็นมรดกสีเขียว และแหล่งท่องเที่ยวถาวรของจังหวัดในระยะยาว” นายผดุงศักดิ์กล่าว

   อย่างไรก็ตาม งานกาฬสินธุ์ดอกไม้บานกลางแสงไฟ (Kalasin Flowers in the Light) ที่จัดขึ้นดังกล่าว อัดแน่นไปด้วยกิจกรรมที่สะท้อนอัตลักษณ์อันงดงามของ จ.กาฬสินธุ์ เช่น กิจกรรม Countdown ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 2569 การแสดงวงดนตรีโปงลาง การแสดงศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้าน และคอนเสิร์ตจากศิลปินลูกทุ่งหมอลำชื่อดัง ที่จะมาสร้างความสุขและความบันเทิงเที่ยวชมฟรีตลอด 10 วัน 10 คืน

 โดยคาดหวังว่างานกาฬสินธุ์ดอกไม้บานกลางแสงไฟ (Kalasin Flowers in the Light) มิใช่เพียงเทศกาล แต่เป็นโครงการลงทุนเชิงยุทธศาสตร์ที่วางรากฐานอนาคตของจังหวัดอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ ดอกไม้นานาพรรณ หลากสีสัน ที่นำมาจัดแสดงภายในงาน ส่วนใหญ่เป็นประเภทไม้ดอกเมืองหนาว ซึ่งยังจะชูช่อออกดอกให้นักท่องเที่ยว ได้มาชมความสวยงามอลังการไปอีกประมาณ 3 เดือน ก่อนที่จะร่วงโรยไปตามฤดูกาล

ข่าวทีวีนิวส์24 กาฬสินธุ์

สมบูรณ์ นาสาทร ภาพข่าว

อนงค์ นาสาทร รายงาน

 

สวนนงนุชพัทยาจัดใหญ่! คริสต์มาสแฟนตาซีสุดอลังการ ช้างซานตาคลอส–พาเหรดแห่งความสุข เที่ยวคุ้มทั้งครอบครัว พลาดไม่ได้!**

  วันที่ 23 ธันวาคม 2568 เวลา 09.30 น.สวนนงนุชพัทยา จังหวัดชลบุรี โดย นายกัมพล ตันสัจจา ประธานสวนนงนุชพัทยา จัดงานต้อนรับเทศกาลแห่งความสุขส่งท้ายปี กับกิจกรรม “Christmas Festival @Nongnooch” อย่างยิ่งใหญ่และตื่นตาตื่นใจ ระหว่างวันที่ 23–25 ธันวาคม 2568
 ภายในงานพบกับไฮไลต์สุดประทับใจ ขบวนพาเหรดคริสต์มาสสุดแฟนตาซี นำโดย ช้างแสนรู้ในชุดซานตาคลอส พร้อมนักแสดงชายหญิงแต่งกายเป็นซานตาคลอสและแซนตี้ ร่วมสร้างสีสัน ความสุข และรอยยิ้มให้กับนักท่องเที่ยวทุกเพศทุกวัย บรรยากาศอบอวลไปด้วยความสนุกสนาน เหมาะสำหรับการท่องเที่ยวแบบครอบครัวในช่วงวันหยุดยาว

สวนนงนุชพัทยา ถือเป็นสวนที่ได้รับการจัดอันดับให้เป็น 1 ใน 10 สวนที่สวยที่สุดในโลก บนพื้นที่กว่า 1,700 ไร่ เต็มไปด้วยแหล่งท่องเที่ยวระดับโลก อาทิ

 • หุบเขาไดโนเสาร์ ใหญ่ที่สุดในไทย กับไดโนเสาร์มากกว่า 1,700 ตัว

 • โซนพีระมิดสุดอลังการ แลนด์มาร์กใหม่ล่าสุด

 • สวนลอยฟ้า ดีไซน์แปลกใหม่ หนึ่งเดียวในโลก

 • ชมสวนสวยกว่า 60 สวน ชมดอกไม้นานาพันธุ์บานสะพรั่งทั่วทั้งสวนนงนุชฯ

พิเศษสุด! โปรโมชั่นส่งท้ายปีผู้ที่เกิดในเดือนธันวาคม รับสิทธิ เข้าชมสวนนงนุชพัทยาฟรี พร้อม เข้าชมพิพิธภัณฑ์พระพุทธคุณฟรี ตลอดเดือนธันวาคม 2568 คุ้มค่า ประหยัด เที่ยวได้ทั้งครอบครัว

นอกจากนี้ นักท่องเที่ยวยังสามารถรับชม การแสดงนงนุชโชว์ และการแสดงของช้างแสนรู้ ที่จัดแสดงทุกวัน วันละ 4 รอบ ณ โรงละครสกาลา สวนนงนุชพัทยา

สวนนงนุชพัทยา เปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.00–18.00 น.

ติดตามโปรโมชั่นและรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่http://www.nongnoochpattaya.com

คริสต์มาสปีนี้ เที่ยวครบ จบที่เดียว สุข สนุก คุ้มค่า ที่สวนนงนุชพัทยา






 

จังหวัดเชียงใหม่ จัดประชุมเตรียมความพร้อมรับเสด็จฯ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสเสด็จฯ มาทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ระหว่างวันที่ 21-22 มกราคม 2569

 วันนี้ (22 ธ.ค. 68) ที่ หอประชุมเดชะตุงคะ กองบิน 41 จังหวัดเชียงใหม่  พลโท ฉกาจ ประสงค์ ราชองครักษ์ในพระองค์ กรมราชองครักษ์ สำนักพระราชวัง รอป.904/905  เป็นประธานการประชุมฯ และนายชัชวาลย์ ปัญญา รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เป็นประธานร่วม โดยมีส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม เพื่อหารือการเตรียมความพร้อมในการรับเสด็จฯ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสที่จะเสด็จพระราชดำเนินมาทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ระหว่างวันที่  21-22 มกราคม 2569
 โดยมีหมายกำหนดการ ดังนี้ ในวันที่ 21 มกราคม 2569  ช่วงเช้า จะเสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ไปในการพระราชทานปริญญาบัตรให้แก่ผู้สำเร็จการศึกษาของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ประจำปีการศึกษา 2567-2568 ณ หอประชุมมหาวิทยาลัยเชียงใหม่  ต่อจากนั้นในช่วงบ่ายจะเสด็จฯ ไปทรงประกอบพิธีเปิดอาคารสัตวเวชบำรุง และทอดพระเนตรนิทรรศการและการดำเนินงานของศูนย์การเรียนรู้และส่งเสริมสุขภาพทางสัตวแพทย์ภาคเหนือ ณ คณะสัตวแพทย์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่  ต่อด้วยการเสด็จฯ ไปทรงเปิดการประชุมสามัญประจำปี 2569 ของคณะกรรมการมูลนิธิขาเทียม ในสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ที่ สำนักงานมูลนิธิขาเทียมฯ ต.ดอนแก้ว อ.แม่ริม
สำหรับพระราชกรณียกิจในวันที่ 22 มกราคม 2569  ในช่วงเช้า จะเสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ไปในการพระราชทานปริญญาบัตรให้แก่ผู้สำเร็จการศึกษาของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (เป็นวันที่สอง) ณ หอประชุมมหาวิทยาลัยเชียงใหม่  ส่วนในช่วงบ่ายจะเสด็จฯ ไปทรงเปิดพระราชานุสาวรีย์สมเด็จเจ้าฟ้ามหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ประทับคู่สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี และทรงเปิดพิพิธภัณฑ์หมอเจ้าฟ้า ในพระราชูปถัมภ์ฯ ณ โรงพยาบาลแมคคอร์มิค  อำเภอเมืองเชียงใหม่  จากนั้นจะเสด็จฯ ไปในพิธีทูลพระขวัญ ณ วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร อำเภอเมืองเชียงใหม่
 ทั้งนี้ ในที่ประชุมได้มีการมอบหมายภารกิจหน้าที่ให้กับส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปด้วยความเรียบร้อย และสมพระเกียรติ อาทิ การชี้แจงลำดับขั้นตอนของพิธีการ  การจัดเตรียมสถานที่  การวางแผนถวายการรักษาความปลอดภัย  การปรับภูมิทัศน์ตลอดเส้นทางเสด็จฯ  การอำนวยความสะดวกด้านจราจร  การแพทย์ฉุกเฉิน  ตลอดจนการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบอย่างทั่วถึง และเพื่อให้การเตรียมงานเป็นไปด้วยความเรียบร้อยตามแนวทางที่วางไว้ และถวายการรับเสด็จฯ ได้อย่างสมบูรณ์ในทุกมิติ









 

ศาลระยองพิพากษายกฟ้องคดีน้ำมันดิบรั่ว ชาวประมง 832 คน ฟ้องเรียกค่าเสียหาย 5 พันล้าน


 เมื่อวันที่ 23 ธ.ค. 2568 ที่ศาลจังหวัดระยอง ศาลได้นัดฟังคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ สวพ.5/2566 ระหว่างสมาคมประมงพื้นบ้านท้องถิ่นจังหวัดระยอง กับพวก รวม 832 คน เป็นโจทก์ ฟ้องบริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) กับพวก รวม 2 คน เป็นจำเลย กรณีเหตุการณ์น้ำมันดิบรั่วไหลในทะเลระยอง โดยโจทก์ขอให้จำเลยร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในมูลละเมิด และตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ.2535 เป็นเงิน 5,000 ล้านบาท พร้อมทั้งฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ได้รับความเสียหาย


ศาลพิจารณาพยานหลักฐานของทั้งสองฝ่ายแล้ว เห็นว่า ในประเด็นที่โจทก์ทั้ง 832 คน ขอให้ศาลบังคับให้จำเลยร่วมกันฟื้นฟูแหล่งเพาะพันธุ์สัตว์น้ำ ระบบนิเวศทางทะเลและชายฝั่ง รวมถึงชดใช้ค่าเสียหายด้านสิ่งแวดล้อมนั้น ไม่มีกฎหมายให้อำนาจโจทก์ฟ้องร้องในประเด็นดังกล่าว จึงถือว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องในส่วนนี้

ส่วนประเด็นความรับผิดของจำเลย ศาลเห็นว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้ครอบครองน้ำมันดิบซึ่งเป็นทรัพย์อันก่อให้เกิดอันตรายได้


โดยสภาพ ต้องรับผิดหากพิสูจน์ได้ว่าน้ำมันดิบที่รั่วไหลส่งผลกระทบต่อรายได้หรือการประกอบอาชีพของโจทก์ แต่จากการไต่สวนไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าการใช้สารเคมีขจัดคราบน้ำมันของจำเลยที่ 1 เป็นไปโดยฝ่าฝืนแผนป้องกันและขจัดมลพิษทางน้ำ เนื่องจากได้รับอนุญาตจากกรมควบคุมมลพิษ และเป็นการดำเนินการเพื่อป้องกันคราบน้ำมันเข้าสู่พื้นที่ชายฝั่งอ่อนไหว จึงไม่เป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์


ขณะที่จำเลยที่ 2 ศาลเห็นว่า ไม่ได้เป็นผู้บริหารจัดการทุ่นรับน้ำมันกลางทะเล และมิได้เป็นเจ้าของหรือผู้ครอบครองน้ำมันดิบที่รั่วไหล จึงไม่มีหน้าที่ดูแล ซ่อมแซม หรือบำรุงรักษาทุ่นรับน้ำมันและอุปกรณ์ขนถ่ายน้ำมันดิบ อีกทั้งไม่ได้กระทำละเมิด จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์


สำหรับความเสียหายของโจทก์ทั้ง 832 คน ศาลระบุว่า โจทก์ไม่ได้นำข้อมูลหรือสถิติพันธุ์สัตว์น้ำ สัตว์น้ำสำคัญ หรือภาวะการเจริญพันธุ์ก่อนและหลังเกิดเหตุมาแสดงให้เห็นถึงความแตกต่าง ไม่มีงานวิจัยสนับสนุน ขณะที่สถิติการจับสัตว์น้ำและข้อมูลด้านการท่องเที่ยวของจังหวัดระยองไม่ปรากฏว่าลดลงจากเหตุการณ์น้ำมันดิบรั่วไหล อีกทั้งโจทก์ไม่สามารถพิสูจน์รายได้ รายรับ รายจ่าย และผลประกอบการสุทธิของแต่ละรายได้อย่างน่าเชื่อถือ


นอกจากนี้ รายงานของผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์ทางทะเลและสมุทรศาสตร์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งศึกษาผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าว ระบุว่า ไม่พบการลดลงของปริมาณสัตว์น้ำ ความอุดมสมบูรณ์ ความหลากหลายทางชีวภาพ และภาวะการเจริญพันธุ์ตามที่โจทก์อ้าง


ศาลจึงมีคำพิพากษา ยกฟ้อง คดีนี้ โดยให้ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีเป็นพับ ทั้งนี้ คำพิพากษาดังกล่าวเป็นคำพิพากษาศาลชั้นต้น คู่ความยังมีสิทธิอุทธรณ์ได้ตามกฎหมาย.

เชียงของ สกัดรถหนีด่าน ยึดไม้ประดู่ผิดกฎหมาย 26 แผ่น

บูรณาการกำลังเข้ม! ตำรวจ สภ.เชียงของ ผนึกกำลังกองกำลังผาเมือง กองร้อยทหารพรานที่ 3103 ร่วมกับกรมป่าไม้อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย สกัดรถหนีด่าน ยึดไม้ประดู่ผิดกฎหมาย 26 แผ่น

เชียงราย – เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2568 เวลาประมาณ 20.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจ สถานีตำรวจภูธรเชียงของ จังหวัดเชียงราย ภายใต้การนำของ ร.ต.อ พันธวัจน์ รัตน์น้ำหิน รองสารวัตรป้องกันปราบปราม สภ.เชียงของ ได้บูรณาการร่วมกับ กองกำลังผาเมือง, เจ้าหน้าที่ กรมป่าไม้ และ กองร้อยทหารพรานที่ 3103 ปฏิบัติหน้าที่ตั้งด่านตรวจบริเวณ ด่านท่าเจริญ อำเภอเชียงของ เพื่อป้องกันและปราบปรามการกระทำผิดกฎหมายในพื้นที่ชายแดน

ระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ พบรถกระบะตู้ทึบต้องสงสัยขับผ่านด่าน เจ้าหน้าที่ได้เรียกตรวจสอบตามขั้นตอน แต่คนขับรถกลับเร่งเครื่องหลบหนี เจ้าหน้าที่จึงติดตามและสกัดกั้นอย่างต่อเนื่อง 

ต่อมา รถต้องสงสัยได้เสียหลักพุ่งชนกำแพงบ้านเรือนประชาชน บริเวณ ปากทางเข้าซอย 1 แยกบ้านปากอิง คนขับอาศัยความมืดหลบหนีไป เจ้าหน้าที่จึงเข้าตรวจสอบพื้นที่ พบ ไม้ประดู่แปรรูป (ไม้ประดู่เหลี่ยม) จำนวน 26 แผ่น ซึ่งเป็นไม้หวงห้ามตามกฎหมาย

เจ้าหน้าที่ได้ทำการตรวจยึดของกลางไว้เป็นหลักฐาน


 พร้อมดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย และอยู่ระหว่างการสืบสวนติดตามตัวผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดี

การบูรณาการกำลังในครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึง ความเข้มแข็ง ความสามัคคี และประสิทธิภาพของการทำงานร่วมกันของทุกหน่วยงาน โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เชียงของ และเจ้าหน้าที่หน่วยงานภาครัฐเขตพื้นที่ชายแดน ในการพิทักษ์ทรัพยากรป่าไม้ของชาติ และสร้างความมั่นคงปลอดภัยให้กับประชาชนในพื้นที่ชายแดนอย่างเป็นรูปธรรม

(ทีมข่าว/อาณาจักรพายัพ รายงาน)

กรมราชทัณฑ์ จัดโครงการฝึกวิชาชีพ"การทำเตาเผาขยะเพื่อสิ่งแวดล้อม” เพื่อบรรเทาทุกข์ปัญหาขยะล้มเมือง หลังน้ำท่วม

 จากสถานการณ์อุทกภัยน้ำท่วมในพื้นที่ภาคใต้ที่ผ่านมา ทำให้เกิดขยะจำนวนมาก และทำให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อม รวมถึงขยะปนเปื้อนที่ต้องได้รับการจัดการอย่างถูกวิธี ทําให้ภาคใต้หลายพื้นที่ต้องเผชิญกับขยะที่สะสมอยู่ตามบ้านเรือน ถนนลานชุมชน โรงเรียน วัด และศูนย์พักพิงชั่วคราวปริมาณขยะที่ท่วมทับกันเป็นชั้น ๆ ส่งผลให้เกิดกลิ่นเหม็น สร้างแหล่งเพาะพันธุ์แมลง พาหะนําโรค และก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อโรคระบาดในวงกว้าง เช่น โรคระบบทางเดินหายใจ โรคผิวหนัง และโรคติดเชื้อที่แพร่ในพื้นที่น้ําขัง หากไม่มีระบบกําจัดขยะที่เพียงพอสถานการณ์จะทวีความรุนแรงและส่งผลกระทบต่อสุขภาพประชาชนอย่างต่อเนื่อง
กรมราชทัณฑ์ นำโดยพ.ต.ท. ประวุธ วงศ์สีนิล อธิบดีกรมราชทัณฑ์จึงได้มีนโยบายให้ผู้ต้องขังมีส่วนร่วมช่วยเหลือประชาชน ด้วยการจัด “โครงการฝึกวิชาชีพการทำเตาเผาขยะเพื่อสิ่งแวดล้อม” ขึ้น เพื่อเป็นการบรรเทาทุกข์ประชาชน และถือเป็นการฝึกทักษะวิชาชีพให้กับผู้ต้องขังให้เขาเหล่านี้ได้นำไปประยุกต์ใช้ในการประกอบวิชาชีพภายหลังพ้นโทษได้อีกทางหนึ่ง ซึ่งการทำเตาเผาขยะ จึงถือเป็นกิจกรรมหนึ่งที่จะเปิดโอกาสให้เขาเหล่านี้ได้สร้างความภาคภูมิใจและทักษะในด้านต่างๆ

 สำหรับการก่อสร้างเตาเผาขยะในครั้งนี้  จึงเป็นเครื่องมือสําคัญในการฟื้นฟูพื้นที่ประสบภัย อีกทั้ง การสร้างเตาเผาขยะที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยต้องอาศัยทักษะด้านช่างและความรู้ด้านการเผาไหม้ ซึ่งประชาชนทั่วไปอาจยังไม่มีความเชี่ยวชาญเพียงพอ การจัดอบรมหรือฝึกวิชาชีพด้านการทําเตาเผาขยะ

จึงเป็นแนวทางที่ตอบโจทย์ทั้งระยะสั้นและระยะยาว เนื่องจากผู้เข้าร่วมจะได้เรียนรู้วิธีการออกแบบ การเลือกวัสดุที่หาได้ในท้องถิ่น การก่อสร้าง การเชื่อม การปรับปรุงเตาให้เหมาะสมกับประเภทขยะหลังน้ําท่วม ตลอดจนวิธีใช้งานอย่างปลอดภัย เพื่อให้การกําจัดขยะภายหลังอุทกภัยทําได้อย่างมีระบบ กองพัฒนาพฤตินิสัย โดยกลุ่มงานฝึกวิชาชีพ ได้เล็งเห็นถึงความเชื่อมโยงทั้งปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม สุขภาพ อาชีพ และการพัฒนาศักยภาพของผู้ต้องขัง จึงได้จัดทําโครงการฝึกวิชาชีพการทําเตาเผาขยะเพื่อสิ่งแวดล้อม เพื่อเสริมสร้างความรู้พื้นฐานด้านเทคนิค การจัดการขยะและความตระหนักด้านสิ่งแวดล้อมอย่างบูรณาการ ผู้ต้องขังจะได้เรียนรู้ตั้งแต่ขั้นตอนการวิเคราะห์ปัญหาขยะในพื้นที่ การออกแบบเตาให้เหมาะสมกับปริมาณขยะจริง การเลือกวัสดุ การใช้เครื่องมือช่าง การเชื่อมการก่อสร้าง การทดลองใช้งาน และการซ่อมบํารุงเตาในระยะยาว ซึ่งเป็นชุดทักษะเชิงอาชีพที่สามารถนําไปใช้ในการทํางานจริง หรือต่อยอดสู่การเป็นช่างฝีมือในอนาคตได้  การแยกขยะก่อนเผา และวิธีลดขยะตั้งแต่ต้นทาง ซึ่งช่วยส่งเสริมแนวคิดการจัดการขยะอย่างยั่งยืน


 

พล.ต.อ.ธัชชัย รอง ผบ.ตร.เปิดโครงการเมืองไทยปลอดภัย “Pathumwan model” เฝ้าระวังเหตุรักษาความปลอดภัยในพื้นที่ ร่วมภาคีเครือข่าย ช่วงเทศกาลคริสต์มาส และเทศกาลปีใหม่ 2569

 วันที่ 23 ธันวาคม 2568 เวลา 10.00 น. ที่ สน.ปทุมวัน เขตปทุมวัน กทม.พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร รอง ผบ.ตร. ดูแลงานป้องกันปราบปราม, พล.ต.ท.สยาม บุญสม ผบช.น., พล.ต.ต.ชรินทร์ โกพัฒน์ตา รอง ผบช.น. ดูแลงานป้องกันปราบปราม สั่งการให้ พล.ต.ต.ชัยกฤต โพธิ์อ๊ะ ผบก.น.6, พ.ต.อ.ธรา แปงเครื่อง รอง ผบก.น.6, พ.ต.อ.ศิริชาติ จันทร์พรมมา ผกก.สน.ปทุมวัน, พ.ต.ท.ศักดิ์ชัย อยู่รักษ์ รอง ผกก.ป.สน.ปทุมวัน     พร้อมด้วย ชุด MPB SWAT สน.ปทุมวัน เปิดโครงการเมืองไทยปลอดภัย “Pathumwan model” ในการเสริมสร้างความร่วมมือกับเครือข่ายรักษาความปลอดภัยในพื้นที่เป็นโครงการนำร่อง

 ทั้งนี้เป็นไปตามนโยบาย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. และ

พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร รอง ผบ.ตร.(ปป) สู่การปฏิบัติของสน.ปทุมวัน ที่มุ่งหวังให้สังคมมีความสงบเรียบร้อย ประชาชน

มีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ผ่านการเสริมสร้างการมีส่วนร่วมกับภาคประชาชน และภาคเอกชน ใน “โครงการเมืองไทยปลอดภัย” ซึ่งสน.ปทุมวัน ได้มอบหมายให้ฝ่ายป้องกันปราบปราม และชุด 

MPB SWAT สน.ปทุมวัน ดำเนินการเสริมสร้างความร่วมมือเชิงรุกและพัฒนามาตรการดำเนินการรักษาความปลอดภัยในพื้นที่ ผ่านการฝึกอบรม “หนี ซ่อน สู้ (Run Hide Fight)” ให้กับภาคเอกชน

นอกจากนี้ ทางกองบังคับการตำรวจนครบาล 6 (บก.น.6)ร่วมสนับสนุนการดำเนินการมอบประกาศนียบัตรภาคเอกชน จำนวน 8 แห่ง เป็นเครือข่ายภาคเอกชนที่ได้รับการฝึกอบรมแล้ว 

อาทิ ศูนย์การค้า MBK, ศูนย์การค้า Cetral World, ศูนย์การค้าสามย่านมิตรทาวน์, โรงแรมโนโวเทล และคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นต้น

โดย พล.ต.อ.ธัชชัยฯ มุ่งเน้นให้เกิดความร่วมมือของ ข้าราชการตำรวจทุกนาย ภาคประชาชน หน่วยงานภาครัฐ และหน่วยงานภาคเอกชน ในการร่วมดูแลรักษาความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สิน เพื่อให้เมืองไทยปลอดภัยตามเป้าหมายของโครงการดังกล่าวอีกทั้ง ยังเป็นการสร้างความปลอดภัย และสร้างภาคีเครือข่าย เพื่อป้องกันเหตุช่วงเทศกาลคริสต์มาส และเทศกาลปีใหม่ จึงได้มีโครงการ Pathumwan model ตามโครงการเมืองไทยปลอดภัย ทั้งนำไปสู่การสร้างความเชื่อมั่นให้กับพี่น้องประชาชนต่อไป

 

เพื่อไทยโคราช “ขยับกระดานใหญ่” เปิดเวทีสมาชิก เคาะ 16 ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. ลุยศึกเลือกตั้งเมืองย่าโม พร้อมดึงชาติพัฒนาลง 3 เขตเมือง ไม่สนกระแสเสื้อแดงดราม่า

นครราชสีมา – การเมืองสนามใหญ่ของเมืองย่าโมเริ่มขยับอย่างชัดเจน เมื่อพรรคเพื่อไทยเปิดเวทีประชุมสมาชิกพรรคจังหวัดนครราชสีมา เดินหน้ากระบวนการสรรหาผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ครบทั้ง 16 เขต ท่ามกลางบรรยากาศการเมืองที่เริ่มร้อนแรง ก่อนเข้าสู่โหมดเลือกตั้งเต็มรูปแบบ
การประชุมจัดขึ้นเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2568 ณ โรงแรมสตาร์เวลล์ บาหลี รีสอร์ท อำเภอเมืองนครราชสีมา โดยมี นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ในฐานะรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เป็นประธานจัดการประชุม เพื่อรับฟังความคิดเห็นและขอความเห็นชอบจากสมาชิกพรรคต่อผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. แบบแบ่งเขต (Primary Vote) ทั้ง 16 เขต รวมถึงผู้สมัครแบบบัญชีรายชื่อจำนวน 100 คน
บรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก มีสมาชิกพรรคจากทั่วทั้งจังหวัดนครราชสีมาเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง เพื่อรับฟังข้อมูล นโยบาย แนะนำตัวว่าที่ผู้สมัคร และร่วมแสดงความคิดเห็นต่อรายชื่อผู้สมัครทั้งในระบบแบ่งเขตและบัญชีรายชื่อ

ไฮไลต์สำคัญของเวทีครั้งนี้ คือการเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. แบบแบ่งเขตทั้ง 16 เขต ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักการเมืองมากประสบการณ์ อดีต ส.ส. และผู้มีฐานเสียงในพื้นที่ ประกอบด้วย

เขต 1 นายประเสริฐ บุญชัยสุข

เขต 2 นายวัชรพล โตมรศักดิ์

เขต 3 นายสมบัติ กาญจนวัฒนา

เขต 4 น.ส.ณัฐจิรา อิ่มวิเศษ

เขต 5 นายสมเกียรติ ตันดิลกตระกูล

เขต 6 นางพัชราวรรณ ภิญโญ

เขต 7 น.ส.ปิยะนุช ยินดีสุข

เขต 8 นายนิกร โสมกลาง

เขต 9 นางนารดา อึ้งสวัสดิ์

เขต 10 นายอภิชา เลิศพชรกมล

เขต 11 นายอาทิตย์ หวังศุภกิจโกศล

เขต 12 นายนรเสฏฐ์ ศิริโรจนกุล

เขต 13 นายพชร จันทรรวงทอง

เขต 14 นพ.วัชรากร เลิศด้วยลาภ

เขต 15 นายรชตะ ด่านกุล

เขต 16 นายพรเทพ ศิริโรจนกุล

แหล่งข่าวระดับแกนนำพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า การขยับตัวครั้งนี้ถือเป็นการ “จัดทัพใหญ่โคราช” เพื่อเตรียมความพร้อมรับศึกเลือกตั้ง โดยมุ่งหวังปักธงพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญของภาคอีสานให้ได้มากที่สุด พร้อมวางเกมการเมืองในเขตเมืองบางส่วน ด้วยการเปิดทางให้พรรคชาติพัฒนาลงแข่งขันใน 3 เขตเมือง ตามยุทธศาสตร์การเมืองระดับจังหวัด โดยไม่ให้ความสำคัญกับกระแสดราม่าภายในกลุ่มเสื้อแดงที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา
ทั้งนี้ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ประกาศรับสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 27–31 ธันวาคม 2568 สำหรับจังหวัดนครราชสีมา เปิดรับสมัครที่อาคารสุรพัฒน์ 2 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี อำเภอเมืองนครราชสีมา

 นันทวัฒน์  อุ่มพิมาย  ผู้สื่อข่าวประจำจังหวัดนครราชสีมา